จำใจจำจากเจ้า จำจร
เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ผมได้ยื่นคำร้องขอย้ายหน่วยงานเพราะเหตุจำเป็นส่วนตัว
ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ท่านก็เมตตาผ่านเรื่องให้--ยอมที่จะให้หน่วยงานไม่ต้องมีนักสงคมสงเคราะห์เพราะเห็นความจำเป็นส่วนตัว จนต่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีคำสั่งจากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการแจ้งว่า--คุณได้รับสิทธินั้นเดี๋ยวนี้
มีคำสั่งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการที่ ๑๐๘๑/๒๕๕๑ ให้ผมไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
โดยมีหนังสือที่ พม ๐๓๒๓.๓/๑๓๑๐๑ ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๑
แจ้งให้ไปรายงานตัวปฏิบัติหน้าที่ราชการตามตำแหน่งที่แต่งตั้ง ภายในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๑
ใจจำจากเจ้า จำจร : ลิลิตตะเลงพ่าย
เมื่อแรกที่เห็นคำสั่งนั้น รู้สึกอย่างไร ?
ใจหายครับ ยอมรับว่าใจหาย แม้จะเป็นความสมัครใจขอย้ายหน่วยงาน แต่ก็ใจหายเพราะการเปลี่ยนแปลง
ใจหายเพราะต้องจำใจจำจากเพื่อนพ้องน้องพี่ กลุ่มเป้าหมาย และเครือข่าย--ถ้าเราคิดว่าอยู่ที่ไหนที่นั่นคือบ้าน ผมก็ต้องจากบ้านไปอีกแล้ว
ใจหายเพราะคิดว่าตัวเองกำลังเข้าใจและชัดเจนในงานสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง ทั้งมิติของประเด็นปัญหา มิติของการเชื่อมโยง ทั้งมิติของการพัฒนารูปแบบ เทคนิค และทักษะในการพัฒนากระบวนงาน เริ่มจะมองงานอย่างเข้าใจและเห็นช่องทางเพื่อรอการตกผลึกและถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทเรียน--ข้าราชการเราเป็นอย่างนี้แหละครับ จะเก่งเสียหน่อยก็ต้องย้ายปรับเปลี่ยนภาระงาน เลยจะหาคนเด่นเฉพาะด้านไม่ได้ ต่างจาก NGOs ที่รับดูแลเฉพาะด้านให้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องนานนับสิบปี จนกลายเป็นไอดอลในแต่ละด้านไป
ย้อนรำลึก ๒ ปี ที่ปรือใหญ่
ผมโชคดีที่ได้มาอยู่ในหน่วยงานซึ่งไม่มีใครอยากจะมา ผมโชคดีที่ได้มานับหนึ่งที่บ้านใหญ่ท้ายซอยหลังนี้
ผมโชคดีที่ได้มาอยู่กับผู้บังคับบัญชาที่ "แล้วแต่มงคลเลยละกัน มงคลว่ายังไงก็ลุยเลยละกัน ถ้ามีปัญหาเดี๋ยวพี่จัดการให้"
เป็นผู้บังคับบัญชาที่อยู่เบื้องหลัง เป็นกองหนุน เป็นกองเชียร์ ให้เราได้ทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่ใจอยากทำ
ผมก็เลยได้ทำในสิ่งที่ผม "เชื่อ" ว่าทำแล้วได้ ทำแล้วดี ทำแล้วโดน
ดูเอาเถิด "กิจกรรมลอยกระทง เผาข้าวหลาม ประกวดสาวงามสถานสงเคราะห์" ปีที่ผ่านมา เป็นโครงการพาฝันที่เชื้อเชิญให้ชาวบ้าน หน่วยงานราชการในพื้นที่แต่งกายด้วยชุดไทยมาร่วมกันเผาข้าวหลามกินกันกับผู้รับบริการในสนามหญ้าหน้าสถานสงเคราะห์เกือบ ๕๐๐ บั้ง กับความฝันว่าให้กิจกรรมการเผาข้าวหลามไม่น้อยกว่า ๕๐๐ บั้งในสถานสงเคราะห์นั้น จะได้พัฒนาให้เป็นประเพณีสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งของชุมชน โดยความหวังว่าในแต่ละปีเมื่อชาวบ้านเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็จะได้มาเผาข้าวหลาม และลอยกระทงในสถานสงเคราะห์--อนุมัติอย่างง่ายดาย พร้อมหาเงินสนับสนุนอีกตามจำเป็นที่ต้องใช้ (เพราะสถานสงเคราะห์เองก็มีข้าว และมะพร้าวอยู่ริมรั้วไม่ต้องซื้อ)
เคยคิดนะครับว่าจะมีไหมที่ใครจะได้อิสระในการทำงานมากมายเช่นผม ที่ทำอะไรได้อย่างที่ใจอยากทำ (ถ้าคิดว่าแน่และมีแรงพอ)
กพ. สอนเราว่า "การได้รับมอบหมายงาน การให้อำนาจในการตัดสินใจ ได้ชื่อว่าเป็นการให้เกียรติ"
ผมได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิตการทำงานของผมตลอดระยะที่อยู่ที่นี่ ชนิดที่เรียกได้ว่ามากเกินจนล้นครับ
และผมไม่คิดว่าผมจะได้รับเกียรติจากผู้บังคับบัญชาในลักษณะเช่นว่านี้จากหน่วยงานใดอีกในอนาคต
ในบ้านใหญ่ท้ายซอยหลังนี้ เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ก็จะถึงโอกาสรดน้ำขอพรจากผู้ปกครองฯและภรรยา
พูดเกี่ยวกับงานที่ผ่านมา
ผมเชื่อของผมเองว่า งานสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งนั้นเป็นงานที่ท้าทาย น่าทำ น่าเล่น น่าจับ กว่างานกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ
ความท้าทายในสถาบันนั้นถือว่ายากที่จะทำให้ดีได้ นับแต่การที่มีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั้งในมิติและประเด็นปัญหา ท้าทายให้เราได้คิดแก้ไขภายใต้ข้อจำกัดของระบบ นับแต่ปัญหาเรื่องการพิสูจน์ทราบบุคคล มิติของการถูกทอดทิ้ง มิติของการเป็นภาระของครอบครัว/ชุมชน งานส่วนใหญ่จึงออกไปในลักษณะของการดูแล ฟื้นฟู และจิตเวชชุมชน เรียกได้ว่าอยากเล่นอะไร เป็นต้องมีเรื่องให้เล่นได้ทุกอย่าง
ในสถานสงเคราะห์มีทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยโรคจิต ผู้ป่วยวัณโรคและติดเชื้อ บุคคลเร่ร่อน ไร้ที่พึ่ง ขอทาน และผู้ประสบเหตุทางสังคมทั่วไป
ทั้งงานเชิงรุกนั้นเล่า ถ้าใครจะมีใครถามว่า "กลุ่มเป้าหมายคือใคร"
ตอบไม่ได้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย ครั้นจะตอบไปบ้างก็เหมือนคนขี้โม้ว่า "กลุ่มเสี่ยง คือ กลุ่มเป้าหมาย"
กลุ่มผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งจากปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นเล่าคือกลุ่มเป้าหมาย--ครอบจักรวาลไหมละ ?
ที่สำคัญงานสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง เป็นงานที่ทำอย่างมีความหวัง ทำแล้วเห็นพัฒนาการ หากแต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
สภาพอาการเมื่อแรกรับกับพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้รับแต่ละคน เห็นแล้วมันทำให้คนทำงานชื่นใจ สุขใจนะครับ
กว่าครึ่งสถานสงเคราะห์มาในสภาพผมเผ้ารุงรัง น้ำลายไหลย้อย หน้าตาบ่งบอกความเจ็บปวดรวดร้าว เวลาผ่านพ้นไปเราทำให้เขายิ้มได้หัวเราะได้
คนเราได้ทำงานแล้วเห็นพัฒนาการ เห็นความหน้า เห็นผลสำเร็จนี่มันสุขใจนะครับ ความข้อนี้อาจรับรู้ได้จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งทั่วไทย
แม้ว่าวันนี้ งานสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งจะเป็นงานที่ใครๆ ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะรังเกียจหรือเกรงกลัว
แต่เชื่อว่าอีกสักพักจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะระบบ โครงสร้างหลายอย่างกำลังได้รับการปรับปรุง แก้ไข และทบทวน
ชีวิตผู้ดูแลของผม ทำได้ทุกอย่างครับ
มุมองปรือใหญ่วันนี้และวันหน้า
ปรือใหญ่วันนี้กับวันนั้น ไม่เหมือนเดิมแน่ๆ ครับ
ถ้าหวนกลับในวันที่ผมเดินทางมาที่นี่ หวนกลับไปยังบันทึกแรก "ศูนย์ผีบ้า : ภาพลักษณ์ที่ต้องเร่งรีบ จะเห็นถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เป็นพัฒนาการของผม ของหน่วยงาน ของพี่ๆ ของน้องๆ
แน่นอนว่า ในหน่วยงานนั้นเรามิได้เป็นอิสระออกจากกัน หากแต่ยึดโยงเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ต่อกัน (แม้จะไม่รู้สึก) ใครคนหนึ่งทำงานได้สำเร็จ คิดงานได้ วางแผนงานได้ ผลักดันให้เกิดกิจกรรมได้เป็นผลสำเร็จได้ ก็ด้วยมีคนช่วยแบ่งเบาภาระงานในด้านอื่น มีผู้ผลักดัน ส่งเสริม และอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ใครที่คิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถได้เพียงลำพังมิต้องพึ่งพาใครอื่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้อกตัญญูต่อผู้ให้การสนับสนุนทั้งปวง
การทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทุกคน การผลักดัน และสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ทำให้หน่วยงานบ้านนอกกับภาพลักษณ์เดิมว่าเป็นแหล่งรวมของเจ้าหน้าที่ขี้เมา หน่วยงานบ้านนอก แห้งแล้งกันดาร ไม่มีระบบระเบียบ กระบวนงานสังคมสงเคราะห์ไม่ปรากฏ เริ่มเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดดกระทั่งบ้านใหญ่ท้ายซอยหลังนี้ได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง
ปรือใหญ่วันนี้ ไม่มีทางจะย้อนกลับไปดังเดิมอีกแล้วละครับ
ขึ้นอยู่กับว่าจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด
เยี่ยมบ้านครอบครัวกลุ่มผู้ประสบปัญหา หลายครั้งหลายคราที่ไปกันง่ายๆ ในวันหยุดราชการ
ชีวิตข้าราชการสุขใจแบบนี้ ในเมืองกรุงทำกันไม่ค่ีอยได้หรอกครับ
ชีวิตนักสังคมสงเคราะห์ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพี่เลี้ยง/ผู้ดูแล และครูฝึกอาชีพ
มีคนเคยถามทำนองนี้แล้วผมก็เคยตอบไปแล้วเช่นกัน
เอาเป็นว่าพี่เลี้ยง/ผู้ดูแลในสถานสงเคราะห์ใดๆ ในประเทศไทยนั้น เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นบุคคลที่น่ายกย่องเชิดชูอย่างที่สุด เป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกับสารพัดสารพันปัญหาทุกรูปแบบกับกลุ่มเป้าหมาย เรียกได้ว่าหายใจเข้า-หายใจออกเป็นนึกถึงผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ไม่ว่าจะสถานสงเคราะห์เด็กเล็ก เด็กโต พิการ หรือผู้ใหญ่เจ็บป่วย ไร้ที่พึ่ง กระทั่งครอบครัว (สามี/ภรรยาและลูก) น้อยใจที่เหมือนว่าพ่อ/แม่ เอาแต่จะชวนคุยเรื่องผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์
เอาเป็นว่า ผมเป็นอย่างที่ผมเคยตอบไว้ใน http://gotoknow.org/ask/yabhakdee ความบางตอนระบุว่า
.....ทำให้นึกถึงโคลงบทนึง ว่ากันว่าเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ก่อนโน้น
หัวโขน สวมหัว คนเต้น
เห็นเป็น ลิงยักษ์ สักครู่
ถอดโขน แล้วคน เดิมดู
ใช่ผู้ ยักษ์ลิง สิ่งลวง ฯ
ผมคงไม่ได้อยากเป็นยักษ์หรอกครับ
แต่ยักษ์ มักจะเข้าสิงทีเผลอ เมื่อตอนอยู่ในช่วงเวลาปฏิบัติงาน
เป็นยักษ์ใจร้าย ยักษ์เกเร ที่เอาแต่ใจตัว
แล้วยักษ์ก็มักจะหนีออกจากร่างไป เมื่อหมดเวลาราชการ
ให้กลับมาเป็นพี่ที่น่ารัก ของน้องๆ น้องๆ
ให้กลับมาเป็นน้องที่น่ารัก ของพี่ๆ
ให้กลับมาเป็นที่รักของใครๆ
อยู่เช่นเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อย่าเกลียดผม
อย่าโกรธผม
แต่ขอให้เกลียด ขอให้โกรธเจ้ายักษ์ใจร้าย ยักษ์เกเร ตนนั้น
ยักษ์ตนทีแอบเข้าสิงทีเผลอ ตนนั้น
(ฮา)
เครือข่ายไร้ที่พึ่ง : ภาพในงานเกษียณอายุราชการที่ชลพฤกษ์ รีสอร์ท นครนายกเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
พูดถึงเครือข่ายไร้ที่พึ่ง
ผมว่าเป็นเครือข่ายที่อบอุ่นนะครับ (ว่ากันเฉพาะเครือข่ายในกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ) อาจจะเพราะหัวอกเดียวกัน เครือข่ายทำงานในสถาบันที่กลุ่มเป้าหมายมั่วๆ แบบบูรณาการ เช่นเดียวกัน มีสิ่งที่น่าสนใจอย่างนึงคือบุคลิกนักสังคมหรือคนทำงานในสถานสงเคราะห์/สถานแรกรับคนไร้ที่พึ่งจะคล้ายกัน โหวกเหวก โผงผาง แต่สนิทใจกัน อบอุ่น ความรู้สึกนี้ไม่เฉพาะแต่กับผม ผู้ใหญ่หลายท่านในกรมก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเช่นว่านี้ คือเป็นกลุ่มใหญ่ โผงผาง แต่เขาก็ไปไหนไปด้วยกัน ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากเครือข่ายคนทำงานในกลุ่มอื่น
ผมว่าเป็นเครือข่ายงานสถาบันที่ยังแน่นนะครับ เรายังคงเหลือน้องต้อม (ตัวเล็ก) สันมหาพน, น้องกัล+พี่ใจ วังทอง, พี่โบ๊ะ ทับกวาง, หมอหนิง ปรือใหญ่, พี่ปุ๊ ส.ชาย, น้องจอย ส.หญิง, น้องกิ๊บ แรกรับนนท์, พี่ผึ้ง ประจวบโชค, เจ้ายอด นครศรี, พี่ติ๊ก พี่โกศล พี่อ้อย น้องสุ บ้านกุ่มสะแก และยังไม่แน่ว่าหัวหน้าหวาน บ้านเมตตา จะไปเติบใหญ่ที่ไหนหรือเปล่า
โรงพยาบาลุขันธ์ เป็นหน่วยงานที่ให้การดูแลผู้รับบริการในฐานะบุคคลพิเศษตลอดมา
ภาพ: หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลนำเสื้อมาบริจาคในเช้าวันหนึ่ง มีการอวดบัตรประจำตัวของกันและกันระหว่างผู้รับบริการและพยาบาล
ถ้าขอได้ จะขออะไรไหม
ถ้าผมจะขอและขอได้ ผมควรจะขอ:
สวัสดิการและค่าตอบแทนให้กับพี่เลี้ยง/ผู้ดูแล ที่ทำงานในสถานสงเคราะห์ทุกแห่ง (เด็ก คนชรา พิการ ไร้ที่พึ่ง ฯลฯ) เพราะค่าตอบแทนน้อยเสียเหลือเกิน (น้อยกว่าหรือมากกว่า ๕,๐๐๐ บาท/เดือน เล็กน้อย) เมื่อเทียบกับปริมาณงาน ทั้งไม่มีเบี้ยเลี้ยงอยู่เวรยาม ล่วงเวลา ทำงานอยู่ด้วยกัน ๕-๖ คน มีสภาพการจ้างแตกต่างกันไป บ้างก็จ้างโดยเงินสนับสนุนจากมูลนิธิส่งเสริมสวัสดิการ บ้างก็จ้างโดยเงินมูลนิธิจากสถานสงเคราะห์จากเมืองกรุง บ้างก็จ้างเหมาบริการ (ซึ่งปราศจากสวัสดิการใดๆ) น้อยนักที่จะจ้างโดยสภาพเป็นพนักงานบริการหรือลูกจ้างประจำ
ใจสู้ ใจรัก ใจผูกพัน แต่มันท้อนะครับกับสภาพงานที่ยากลำบาก และเสี่ยงภัยกับผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยด้วยโรคทางจิต ต้องดูแลตัวเองละครับจากวัณโรคและโรคติดต่อต่างๆ ต้องระวังตัวอาศัยประสบการณ์กันเองละครับเมื่อผู้ป่วยมีอาการกำเริบกระโดดถีบ
มันน่าน้อยใจแทนพี่ๆ น้องๆ เขานะครับ คนทำงานในสถานสงเคราะห์นั้นไม่มีค่าตอบแทนสิ่งใดเลย เมื่อเทียบกับหน่วยงานน้องใหม่หลายแห่ง ที่ตั้งขึ้นด้วยหลักการว่าเป็นหน่วยงานให้บริการ ๒๔ ชั่วโมง เพราะเหตุนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนจึงมีค่าล่วงเวลา ค่าตอบแทนอยู่เวรยาม เมื่อเปรียบเทียบเจ้าหน้าที่ต่อจำนวนผู้รับบริการที่พักอาศัยอยู่ประจำ (ซึ่งผ่านการคัดสรรแล้ว) มันเจ็บปวดใจเสียจริงนะครับกับการประกันค่าตอบแทนล่วงเวลาให้กับเจ้าหน้าที่
ชื่อว่าสถานสงเคราะห์นั้น ภาระหนักที่สุดเห็นจะเป็นการดูแล โดยเฉพาะการให้การดูแลกลุ่มเด็กเล็ก ผู้ป่วยเรื้อรัง และสูงอายุ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงหรืออยู่ในสภาพที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ต้องดูแลชำระล้างระบบขับถ่าย คอยป้อนข้าว-ป้อนน้ำ ให้อาหารทางสายยาง เลี้ยงดูกันจนกว่าจะหายขาดหรือจากกันไปข้างหนึ่ง
ผมว่ามันควรจะเลิกได้แล้วกับคำพูดทำนองว่า "พวกเราเห็นใจท่าน ผู้ใหญ่ทราบดีว่าพวกท่านเหนื่อย พวกท่านหนัก และลำบากเพียงใด ก็ขอชื่นชมท่าน คิดเสียว่าพวกเราทำบุญละกันนะ....." ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของงานหน่วยงานราชการนะครับ จะให้ดำเนินไปตามยถากรรม ตามแต่ศรัทธาและกำลังใจได้อย่างไรกัน
ถึงวันสงกรานต์ที มีโอกาสได้วัดเรตติ้งเสียทีนึงครับพี่น้อง (ฮา)
อย่างไรกับ "บันทึกบ้านนิคมปรือใหญ่"
โดยมารยาท ผมควรยุติการเขียนบันทึกในบล็อกชื่อ บันทึกบ้านนิคมปรือใหญ่ : http://gotoknow.org/blog/preuyaihome แต่เพียงเท่านี้--บันทึกนี้ควรจะเป็นบันทึกสุดท้ายของผมใน "บันทึกบ้านนิคมปรือใหญ่" และถ้าจะมีการอภิปรายเรื่องต่อเนื่องเกี่ยวกับ บันทึกบ้านนิคมปรือใหญ่
โปรดใช้ช่องทางถาม-ตอบที่ http://gotoknow.org/ask/yabhakdee
อย่างไรก็ดี หากจะได้มีการติดตามและตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับงานคนเร่ร่อน ขอทาน ไร้ที่พึ่งนั้น ผมคงย้ายไปเขียนที่บล็อกชื่อ "อย่างไร ไร้ที่พึ่ง : http://gotoknow.org/blog/destitute" ซึ่งได้เปิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการเขียนในเชิงการตั้งข้อสังเกตทั่วไปไม่เกี่ยวเนื่องกับหน่วยงาน
อนึ่ง ผมควรจะเขียนเรื่องคนพิการเสียด้วย ผมจึงได้เปิดบล็อกใหม่เกี่ยวเนื่องกับคนพิการชื่อ "สังคมไทยไร้อุปสรรค : http://gotoknow.org/blog/barrierfree" กับบันทึกแรกชื่อ Barrier-free Society for All
น้องๆ คนรุ่นในบ้านใหญ่จำต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ในท่วงทำนองของ "คุณยายวรนาถ"
ขอบคุณใครเป็นพิเศษ
ขอขอบคุณ
พี่ๆ ผู้ดูแลผู้รับการสงเคราะห์ ครูฝึกอาชีพ พ่อครัว ทุกคนที่เป็นพี่ เป็นเพื่อน และเป็นกลุ่มคนที่ผมต่อว่ามากที่สุดในห้วงที่ยักษ์เข้าสิงร่างโดยไม่รู้ตัว ประสาคนใจร้อนหวังผลเร็ว
พี่ๆ น้องๆ บนสำนักงาน ที่อาจโดนหางเลขอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะในคราวที่ไม่ได้อย่างที่ใจปรารถนา (ประสาคนเอาแต่ใจตัว)
เครือข่าย สอ. รพ. ที่ให้รักษาฟื้นฟู สถานพยาบาลทั้งใกล้ไกล ที่ให้การสนับสนุนและลัดคิวสำหรับผู้ป่วยของเราเป็นการเฉพาะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลขุขันธ์ ศรีสะเกษ สรรพสิทธิประสงค์ พระศรีมหาโพธิ์ ที่ให้การบำบัดรักษาฟรีแม้จะยังมิได้ทำผ้าป่าไปสนับสนุนค่ารักษาพยาบาล
มูลนิธิสว่างจิตต์ศรีสะเกษธรรมสถาน ที่ให้บริการโดยพลันทันทีที่ได้รับแจ้งเมื่อมีเหตุเสียชีวิตในสถานสงเคราะห์ทั้งที่ห่างไกลเกือบ ๖๐ กม. ฟรีตลอดทุกรายการ
บ้านใหญ่ทั้งใกล้ไกล ที่สนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคสำหรับสถานสงเคราะห์บ้านนอกเช่นเราที่ยังขาดอยู่เยอะ
ผู้ใหญ่ทั้งใกล้ไกล ที่เมตตาตักเตือนและปรารถนาดีต่อผมตลอดมา ทั้งในจารีตของความเป็นข้าราชการ ทั้งในด้านวิชาการและข่าวสาร
ผองเพื่อนในมหาวิทยาลัยทั้งใกล้ไกล ที่เอื้อเฟื้อบริการดาวน์โหลดผลงานวิจัยที่สืบค้นได้จากฐานข้อมูล Science Direct ตามคำร้องขอ
ขอบใจหมอหนิง : สุจรรยา ละมุล น้องพยาบาลคนเก่งของเรา ที่ปฏิบัติหน้าที่นักสังคมฯกึ่งพยาบาล (ฮา) ในยามที่ผมคิดงาน ผละจากงานในหน้าที่ หมอหนิงอดทนตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานอยู่ด้วยกันครับ เป็นน้องที่โดนดุ โดนด่า มากกว่าใครเขา--เข้าใจว่าหมอหนิงของเราจะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของบ้านหลังนี้อยู่ต่อไปอีกนานครับ
ขอบคุณอย่างที่สุดสำหรับการส่งเสริม สนับสนุน ผลักดัน มอบหมายงานและให้เกียรติแก่ผมอย่างที่สุดคงไม่พ้นผู้บังคับบัญชา คงไม่มีใครเกินผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ของผมและภรรยาท่านครับ ผู้ปกครองฯปัญญา ทองดี และภรรยาท่านคุณครูประพิณ ทองดี
ผมยังเชื่อว่า คงไม่มีอีกแล้วกระมังครับที่จะได้รับเกียรติสูงสุดในการได้รับมอบหมายงานชนิดที่เรียกได้ว่าทำอะไรก็ได้ตามใจหมายเช่นนี้
อาบน้ำแล้วค่ะ ว่าแต่ทำไมต้องหน้าวอก ? ใครแก้ได้ ผมให้รางวัล...
KM เรื่องการขอย้าย
ข้อนี้มีคนโทรมาถามเยอะครับ
อย่างตรงไปตรงมาตามขั้นตอน อย่างไม่ใช้อำนาจเบื้องบนดลบันดาลให้เป็นไปอย่างที่ใจปรารถนา
การขอย้ายหน่วยงานนอกเหนือจากเหตุผลและความจำเป็นที่ระบุในคำร้องแล้ว ความเมตตาจากหัวหน้าหน่วยงานเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ผมเขียนเหตุผลตัวโตๆ ข้อแรกว่า "มีแผนที่จะแต่งงานในปลายปีนี้--๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ณ จังหวัดขอนแก่น หากแต่มิได้ระบุชื่อโรงแรมและชื่อเจ้าสาวไว้ ด้วยเกรงว่าผู้มีอำนาจอุมัติย้ายจะหาว่าบ้าเห่อ ประสาคนไม่เคยมีเมีย (ฮา)
เหตุผลข้อต่อมาแม้จะจริงแต่เชื่อว่าท่านก็คงมิได้นำพาว่า มีประสบการณ์การศึกษาและทำงานในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นเป็นเวลานานกว่า ๑๕ ปี
ขอย้ายไปแต่งงานมันต่างจากขอย้ายตามคู่สมรส ขอย้ายไปแต่งงานมันต่างจากขอย้ายไปดูแลบุพการีที่สูงวัย ใครละจะห้ามได้ (ฮา)
น้องๆ บนสำนักงานและหมอหนิงเห็นสำเนาคำร้องขอย้ายล้วนแต่ทำหน้าทำตาออกแนวหมั่นไส้ ผมหัวเราะแล้วตอบไปว่า
น้องเอ๊ย !!!! อีกไม่กี่ปี ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ เพราะเหตุว่ามีการเกิดน้อยกว่าการตาย คาดว่าจะมีผู้สูงวัยเกินกว่า ๑๐% และจะมีความรุนแรงมากกว่าประเทศอื่นๆ ที่เคยผ่านช่วงสังคมผู้สูงอายุมาก่อนหน้านี้ การที่น้องๆ ทำงานในกระทรวง พม. รับรู้ความรุนแรงของปัญหาแต่ไม่คิดจะเยียวยาปัญหาสังคมด้วยการเลือกมีคู่ครองและมีประชากรรุ่นต่อไป ได้ชื่อว่าไม่นำพาปัญหาประเทศชาติ (ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
สถานสงเคราะห์จำเป็นที่ต้องถ่ายภาพผู้รับบริการรายบุคคลอยู่เนืองๆ เพื่อให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
ลองเอาภาพหน้าตรงรายบุคคลทุกคนขึ้นบอร์ดดู ก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหลายประการครับ
ให้ความร่วมมือในการถ่ายภาพมากขึ้นหนึ่ง แต่งตัวดีขึ้นหนึ่ง ขอถ่ายภาพใหม่เพื่อให้ดูดีกว่าเดิมหนึ่ง
เลยนำไปสู่ "การแสดงภาพถ่ายพอร์เทรต"
จริงอย่างท่านว่า คนเราจะให้ความร่วมมือและให้ความร่วมมือมากขึ้น
เมื่อทราบว่าตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไรกับการกระทำนั้น
สั้นๆ ก่อนจากจร
เมื่อผมยืนยันว่าผมรักงานไร้ที่พึ่ง ชอบใจ และสุขใจกับงานไร้ที่พึ่ง ผมก็ควรจะติดตามและคิดต่อ
ผมควรจะคิดต่อในบล็อกชื่อ อย่างไร ไร้ที่พึ่ง : http://gotoknow.org/blog/destitute
ไม่นานครับ ผมจะกลับมา--กลับมา "สุขใจไร้ที่พึ่ง"
โปรดอย่ารอคอย แต่โปรดติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน
(ฮา)
สวัสดีครับท่านมงคล
จำใจจำจากเจ้า จำจร////
จำใจจำจากเจ้า จำจร
จำจรใจจากจร จากเจ้า
จากเจ้าจำใจจร จำจาก
จำจากจากใจเจ้า จากเจ้าจำจรแล้ว////////
คุณมงคลครับ มาอยู่พัทลุงซิครับ เครือข่ายคนพิการเข้มแข็ง
ทั้ พมจ และ ศพส น่ารักทุกคน เป็นกันเองกับองค์กรชุมชนครับ
ผมยังจำเรื่องราวของคุณมงคลได้ ในวันที่มาทำงานที่ นิคมปรือใหญ่ วันแรกๆ
วันนี้มีอันต้องเปลี่ยนแปลง
และที่ไหนก็ทำงานเพื่อสังคม ได้ทั้งนั้น
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ
ว้า พี่โหมงไปซะและ เหงาแย่เลยสิเรา ชอบประโยคนี้ค่ะพี่
แน่นอนว่า ในหน่วยงานนั้นเรามิได้เป็นอิสระออกจากกัน หากแต่ยึดโยงเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ต่อกัน (แม้จะไม่รู้สึก) ใครคนหนึ่งทำงานได้สำเร็จ คิดงานได้ วางแผนงานได้ ผลักดันให้เกิดกิจกรรมได้เป็นผลสำเร็จได้ ก็ด้วยมีคนช่วยแบ่งเบาภาระงานในด้านอื่น มีผู้ผลักดัน ส่งเสริม และอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ใครที่คิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถได้เพียงลำพังมิต้องพึ่งพาใครอื่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้อกตัญญูต่อผู้ให้การสนับสนุนทั้งปวง
อย่าลืมนะพี่ สัญญาแล้วนะว่าไม่นานครับ ผมจะกลับมา--กลับมา "สุขใจไร้ที่พึ่ง"
ขอบคุณท่านบังหีม มากครับผม
ขอบคุณpa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ] มากครับ
ขอบคุณ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ครับ
สวัสดีจ๊ะ น้องมะปรางค์
เมื่อสักครู่นี้ เห็นภาพที่ป้าแดงโพสต์ไว้ที่บันทึก อคติ ที่ http://gotoknow.org/blog/barrierfree/218364 เลยขอบันทึกไว้ให้สมบูรณ์สักเล็กน้อย ถือเสียว่าเป็นการบรรยายภาพข้างบนนี้ละกันนะครับ
เมื่อเย็นของวันจันทร์ที่ ๖ ต.ค. ๒๕๕๑ สถานสงเคราะห์บ้านนิคมปรือใหญ่ได้จัดเลี้ยงส่งก่อนจำใจจำจากสถานสงเคราะห์ แน่นอนครับบรรยายกาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น อบอุ่นยิ่ง พี่ๆ น้องๆ อยู่กันพร้อมหน้า มีแขกจาก พมจ.ศรีสะเกษ และศูนย์สงเคราะห์และฝึกอาชีพเด็กและเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษ มาร่วมด้วยหลายคน
วันนั้น ผู้ปกครองฯ ท่านให้โอวาท/ข้อคิดสั้นๆ ในการดำเนินชีวิตราชการว่าให้ "อดทนและตั้งใจ" ให้ไปขยายความเอาเอง ตามสไตล์ของท่านครับ ท่านมักจะกล่าวสั้นๆ อย่างนี้เสมอประสาคนไม่เรื่องมาก-ไม่มากเรื่อง
วันนั้น ผมพูดอะไรไปมากเหมือนกันครับ และมีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมบอกว่าผมอยู่ที่นี่ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมากเชียวครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามเลียนแบบผู้ปกครองฯแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ หรือถ้าจะว่ากันตรงๆ คือ พยายามแต่เมื่อครั้งบวชแล้วละครับ ที่พยายามเลียนแบบพระเถระเวลาฉันในบาตร
ผู้ปกครองฯปัญญา ทองดี เวลาทานข้าวจานข้าวท่านไม่เลอะครับ สังเกตและเลียนแบบมาตลอด แต่ยอมเพราะทำไม่ได้ (เพราะเหตุนั้น เวลามีงานเลี้ยงผมจึงนั่งไกลๆ เพราะผมกินจุและจานผมมักจะเลอะเทอะเสียด้วย (ฮา))
ไม่ต่างจากพระเถระผู้ทรงคุณแม้จะฉันในบาตร มีสารพัดอย่างในบาตรท่านแต่ก็ไม่เลอะเทอะ ลูกศิษย์ยังกินข้าวกันบาตรได้โดยไม่แฉะน้ำแกง
กระทั่งวันพฤหัสบดีที่ ๙ ต.ค. ๒๕๕๑ พี่ๆ น้องๆ ได้ตามมาส่งถึงที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น และกลับไปในคืนวันนั้น
ก่อนจากลาเห็นน้ำตาของพี่ๆ ไหลยาวเป็นทาง ใช่แล้วครับเป็นพี่ๆ ที่ผมเคยดุด่าต่อว่านะแหละครับ และเมื่อรถของพี่ๆ น้องๆ ที่มาส่งคล้อยหลังลับตาไป น้ำตาผมก็ไหลยาวมาเป็นทางเช่นกัน
มิใช่เพราะเสียใจ มิใช่เพราะเสียดาย มิใช่เพราะต้องจากจร
หากแต่เป็นน้ำตาของความผูกพันที่ไหลออกมาเองครับ...
สวัสดีค่ะ พี่มงคล
ฝนเพิ่งไปสอบภาคความรู้เฉพาะตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาค่ะ พอดีว่ามีคนแนะนำให้ฝนมาอ่านบล็อกของพี่ เผื่อจะได้ไอเดียอะไรไปสอบข้อเขียนบ้าง หนูอ่านทุกบันทึกเลยค่ะ ยังกะอ่านนิยายแน่ะ (อิอิ) โดยเฉพาะช่วยแรกๆ ที่พี่ยังไม่ได้เขียนวิชาการเท่าไหร่อ่านแล้วสนุกแล้วก็มองเห็นภาพงานสังคมสงเคราะห์ในสถานสถานสงเคราะห์เลยค่ะ แล้วฝนยังตามไปอ่านที่บล็อกเรื่องคนไร้ที่พึ่งและคนพิการด้วยนะคะ (ตาแฉะเลยค่ะ อ่านอยู่ 2 วัน).....ฝนแวะมาขอบคุณพี่มงคลค่ะว่าได้ไอเดียไปสอบเยอะเลยค่ะ เขียนต่อไปอีกนะคะ.... (แหะ ๆ)
ขอบคุณ "น้องฝนค่ะ" นะครับ ที่แจ้งว่าอำนวยประโยชน์ได้ (บ้าง)
จากข้อเขียนที่เลือกสรร (ฮา)
ที่ว่าเลือกสรร เพราะเหตุว่าเลือกที่เล่าในเรื่องที่เห็นว่าเล่าได้
เรื่องเล่าใน "บันทึกบ้านนิคมปรือใหญ่" เป็นเรื่องที่เลือกและเลือกที่จะเล่า
ผ่านมุมมองของผมเอง (โดยหวังว่าจะกระทบกับหน่วยงานให้น้อยที่สุด)
ในสังคม/องค์กรใบบัว ใบบอน
...........จากจรลับลาแล้ว.........เจ้าจร
จากไปใกล้สมร......................ค่าล้ำ
คนหลังเศร้าอาวรณ์.................ถวิล..เทวษ
เย็นย่ำคิดยิ่งย้ำ......................อกไห้โหยหา...
ประพิณ ทองดี
๒ มิถุนายน ๒๕๕๓