วันนี้... มีการสวดมาติกาบังสุกุลศพซึ่งตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่ศาลาภายในวัดหลายวันแล้ว หลังจากพิธีสวดมาติกาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเคลื่อนศพไปเผายังวัดที่มีเมรุเผาศพสืบต่อไป เพราะที่วัดไม่มีเมรุเผาศพ... และหลังจากสวดมาติกาเสร็จแล้วทางพิธีกรก็เรียนเชิญลูกหลานผู้ตายช่วยกันประเคนของเบิกทางต่อพระเถระแล้วก็เผดีงสงฆ์ว่านิมนต์พระอีก ๔ รูปเพื่อสวดบนรถ... ผู้เขียนอยู่ร่วมสวดมาติกาด้วย เมื่อเดินออกจากศาลาก็นึกขึ้นได้ว่า เรื่องนี้นำมาเล่าได้เช่นเดียวกัน...
ปกตินั้น วันสุดท้ายก่อนจะเผาศพจะมีการสวดมาติกาบังสุกุล และตอนเคลื่อนศพไปยังเมรุหรือเชิงตะกอนนั้น จะมีการนิมนต์พระเถระรูปหนึ่งเป็นผู้นำทางหรือเบิกทาง... พระนำทาง หรือ พระเบิกทาง นี้ จะมีของถวายเป็นพิเศษเรียกกันว่า ของเบิกทาง หรือ ของนำทาง ซึ่งโดยทั่วไปก็มักจะเป็น หมอน เสื่อ กาน้ำ ปิ่นโต ไฟฉาย ตะเกียง ร่ม ถังสังฆทาน ผ้าจีวร ฯลฯ และก็จะมีขันบรรจุข้าวสารไว้ (บางที่ก็อาจมีข้าวตอกและดอกไม้ผสมอยู่กับข้าวสารด้วย) เพื่อให้พระผู้นำทางโปรยไปเรื่อยๆ ในระหว่างเคลื่อนศพ...
นอกจากพระนำทางแล้ว มักจะนิยมพระสงฆ์อีก ๔ รูปเพื่อสวดข้างๆ ศพ ตอนกำลังเคลื่อนย้ายศพ... ในสมัยก่อนนั้น (เน้นเฉพาะปักษ์ใต้บ้านเรา) นิยมตั้งศพไว้ตามบ้าน ตอนเคลื่อนย้ายศพวันเผา จะใช้ไม้ไผ่ทั้งลำ ผูกเป็นตะแกรงคานหาม แล้ววางศพไว้บนคานหาม ปลายไม้ไผ่แต่ละด้านที่ยื่นออกมาก็จะถูกรองรับด้วยบ่าของลูกหลานซึ่งช่วยกันแบกไว้ ทั้งสี่ด้าน เช่น ถ้าด้านละสี่คนก็จะใช้คนหามสิบหกคน หรือถ้าด้านละห้าคนก็จะใช้คนหามยี่สิบคน เป็นต้น
หีบศพตั้งอยู่บนคานหามตะแกรง ส่วนพระสวดข้างๆ ศพนั้น จะยืนเกาะหีบศพอยู่บนคานหามด้วย จึงนิยมเรียกพระที่สวดกรณีนี้ว่า สวดคานหาม (บางท้องที่ออกเสียงว่า คันหาม) ... ส่วนพระนำทางนั้น ไม่แน่นอนนัก บางครั้งก็ยืนอยู่บนคานหามร่วมกับพระที่สวด บางครั้งก็เดินอยู่ด้านล่างโดยมีสายโยงจากพระนำทางไปยังศพบนคานหาม หรือบางครั้งก็มีการใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นเก้าอี้เล็กๆ (เรียกกันว่า แคร่) ให้ท่านขึ้นนั่งแล้วลูกหลานก็ช่วยกันแบกแคร่เดินนำหน้าคานหามศพโดยมีสายโยงจากแคร่ที่พระำนำทางนั่งไปยังคานหามเช่นเดียวกัน... จินตนาการดูจะเห็นได้ว่าค่อนข้างจะทุลักทุเลกว่าจะเคลื่อนศพจากบ้านไปถึงป่าช้าหรือเชิงตะกอนได้
ถ้าเดินไปตามปกติ แบกหามไปตามปกตินั้นก็ไม่กระไรนัก... แต่สมัยก่อนนั้น ลูกหลานที่แบกศพมักจะเมาด้วย จึงโยกคานหาม ขึ้นๆ ลงๆ หมุนไปซ้ายทีขวาที (ปักษ์ใต้เรียกกิริยาทำนองนี้ว่า แย่ง หรือ แย่งศพ) พระคุณเจ้าที่นำทางหรือสวดอยู่บนคานหามจึงจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่อยู่ตลอด... บางศพที่ลูกหลานเยอะ มักจะหามพาพระคุณเจ้าที่นำทางและสวดบนคานหามมาส่งใกล้ๆ ป่าช้า แต่ก็มิได้หามศพเข้ายังป่าช้า หามเลยป่าช้าไปยังหมู่บ้านอื่น ซึ่งเป็นที่สนุกสนาน... พวกที่ไม่ได้หามก็เดินหิ้วถังใส่เหล้าตามศพไป หรือร้องรำทำเพลงกันไปพลาง และค่อยผลัดเปลี่ยนกับคนอื่นๆ ในการแบกคานหามต่อไป...
การหามศพหรือแบกศพทำนองนี้ ถือคติว่า ห้ามวางลงพื้น ต้องไปวางเมื่อถึงที่หมาย แต่ก็ผลัดเปลี่ยนหามกันไปได้เป็นครึ่งค่อนวัน บางศพกว่าจะได้เผาใกล้ค่ำแล้วก็มี พระสงฆ์ที่รอจะมติกาบังสุกุลและญาติพี่น้องที่จะรอเผาอยู่ก็นั่งคอยแล้วคอยเล่า มีบ้างเหมือนกัน ที่รอไม่ไหวทำพิธีหลอกๆ กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระเณรและญาติพี่น้องก็ชวนกันกลับ ส่วนศพนั้น มาถึงเมื่อไหร่ ลูกหลานก็ช่วยกันเผาเอง...
เพราะเป็นปัญหาอย่างนี้เสมอ ต่อมาจึงเริ่มมีการเปลี่ยนจากการนำศพมาด้วยคานหาม เป็นการบรรทุกด้วยรถยนต์แทน... พระนำทางจากนั่งบนแคร่หรือเดินนำหน้าคานหามก็กลายมาเป็นนั่งด้านหน้าติดกับคนขับรถบรรทุกศพ หรือนั่งบนรถอีกคันที่นำหน้ารถบรรทุกศพ แล้วก็มีสายโยงจากรถที่พระนำทางนั่งไปยังรถที่บรรทุกศพ เป็นการประยุกต์จากอดีตมาเป็นปัจจุบัน...
เมื่อแรกๆ นั้น แม้พระสวดศพบนรถก็จะเรียกกันว่า สวดคานหาม ตามแบบเก่า... ต่อมาคำว่าสวดคานหามค่อยๆ เลือนหายไป คำว่า สวดบนรถ เริ่มเข้ามาแทนที่... สำหรับพระสวดบนรถหรือสวดคานหามนี้ จะนิยมเมื่อต้องเคลื่อนย้ายศพในสถานที่ไกลจากเมรุเผาศพหรือเชิงตะกอนเท่านั้น ถ้าศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ในป่าช้าหรือตั้งอยู่ในวัดที่มีเมรุเผาศพอยู่ด้วย ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องนิมนต์พระสวดบนรถ แต่พระนำทางหรือพระเบิกทางยังคงมีการนิมนต์อยู่เหมือนเดิม... อย่างไรก็ตามพระสวดบนรถนี้ เจ้าภาพบางงานก็ไม่นิยม แม้จะต้องเคลื่อนศพจากบ้านโดยบรรทุกรถมายังเมรุเผาศพเป็นระยะทางไกลพอสมควร นิมนต์แต่พระนำทางเท่านั้น
บทสวดที่ใช้สวดบนคานหามหรือบนรถ ก็คือ บทอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นั้นเอง... เพียงแต่ว่าถ้าสถานที่ไกลก็อาจสวดช้าๆ เว้นช่วงเป็นบางครั้ง แล้วก็ขึ้นซ้ำใหม่ถ้ายังไม่ถึงที่หมาย... และถ้าเป็นสถานที่ใกล้ก็อาจสวดไม่ครบทั้ง ๗ คัมภีร์ เพราะถึงที่หมายเสียก่อน... แต่มีส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือให้สวดบท เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯ เมื่อเข้าถึงที่หมายต่อจากบทอภิธรรม...
การสวดคานหามหรือสวดบนรถนี้ เมื่อก่อนผู้เขียนก็สวดประจำ ต่อมาเมื่ออาวุโสขึ้นก็ปล่อยให้พระหนุ่มเณรน้อยสวดแทน (จำไม่ได้แล้วว่าสวดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่น่าจะสิบกว่าปีแล้ว)... ส่วนการแบกศพหรือหามศพในสมัยเป็นฆราวาสนั้น ผู้เขียนก็เคยมีประสบการณ์อยู่บ้าง บอกได้ว่าสนุกดี (5 5 5 . . .)