“คิดถึงเหลือเกิน...”
พวกเราทุกคนยืนดูรถกระบะคันนั้น แล้วก็หัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน “มันจะสามารถใส่อะไรลงไปได้อีกไหมนี่” เสียงน้องคนเล็กของฉันถามขึ้นมา จบคำถามนั้นพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อม ๆ กันอีกครั้งหนึ่ง
ภาพของรถยนต์กระบะเก่า ๆ ที่พวกเราอันหมายถึงพ่อ แม่ ฉันและน้อง ๆ อีกสามสาวพยายามที่จะนำสิ่งของยัดใส่เข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทำให้มองดูเหมือนรถคันนั้นจะปริแยกชิ้นส่วนออกจากกันให้ได้ ขณะที่ฉันกำลังจับโน่นเปลี่ยนนี่เพื่อให้มีช่องว่างที่จะสามารถใส่สิ่งของที่ฉันคิดว่าจำเป็นจะใส่ลงไปให้ได้อีกนั้น ฉันก็ได้ยินเจ้าของรถที่พ่อกับแม่ไปว่าจ้างเหมามาพูดขึ้นว่า
“ต้องเอาไปด้วยหรือลุง”
ฉันหันไปมองว่าเขาหมายถึงอะไร แล้วพวกเราก็ประสานเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นพ่อของฉันกำลังแบกโอ่งน้ำใบเล็ก ๆ น่ารักมาวางไว้ข้างรถ พ่อบอกคนขับรถว่า
“ต้องเอาไปซิ ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรใส่น้ำกินน้ำใช้ล่ะ”
แล้วพวกเราก็รื้อของทั้งหมดบนรถลงมาเพื่อนำโอ่งใบดังกล่าวเข้าไปวางไว้ด้านในสุดของรถแทน ก่อนแล้วจึงนำสิ่งของบางอย่างที่พอจะใส่ลงไปในโอ่งใส่ตามไปอีกทีเพื่อประหยัดเนื้อที่ น้องสาวมากระซิบที่ข้างหูของฉันว่า
“ตัวคอยดูพ่อไว้นะ อย่าให้ไปแถวข้างบ้าน เดี๋ยวเกิดไปเจออะไรเข้า เราอาจจะต้องรื้อของกันอีก”
วันนั้นเราเก็บของขึ้นรถกันตั้งแต่เช้า ซึ่งของนั้นเราเตรียมกันมาหลายวันแล้ว ของบางอย่างต้องเก็บต้องห่อกันอย่างดี กลัวว่าจะไปแตกเสียหายเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง เช่นถ้วยชาม เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่เราเตรียมตัวกันมาหลายวัน แต่เมื่อถึงคราวต้องขนขึ้นรถ พวกเราก็หยิบเข้าหยิบออกจากเวลาตั้งแต่เช้ากว่าจะได้ออกเดินทางก็เกือบเที่ยงวันและก็ช่างบังเอิญเหลือเกิน เมื่อเราเก็บของขึ้นรถเสร็จและออกเดินทาง ฝนที่ตั้งเค้ามาแต่เช้าก็ตกเหมือนฟ้ารั่วทีเดียว
รถคันที่เราเหมากันไปวันนั้น เป็นรถกระบะที่ปกติเจ้าของใช้ทำรถโดยสารวิ่งโดยสารอยู่ เจ้าของจะต่อเป็นคอกกั้นสำหรับให้ผู้โดยสารนั่ง มีเบาะยาวสองแถวและมีหลังคา แต่ไม่สามารถคุ้มฝนให้พวกเราได้ พ่อกับแม่นั่งตอนหน้าคู่กับคนขับ เราสี่สาวพี่น้องนั่งไปข้างหลังกับของที่ขนมา โดนฝนสาดเปียกไปทั้งคนทั้งของ
“เราว่านกมันหนาวนะ ดูสิ...ตัวสั่นเชียว เอามันมาทำไมก็ไม่รู้”
เสียงน้องสาวบ่น พวกเราหันไปดูเจ้านกตัวที่ว่า มันเป็นนกเขาชวาตัวเล็ก ๆ ที่ฉันเอามันมาด้วย ตอนที่ฉันบอกว่าฉันจะเอาเจ้าตัวเล็กนี้มาด้วย ทุกคนห้ามเป็นเสียงเดียวกัน ว่าจะเอามันมาทำไม แค่กรงของมันก็กินเนื้อที่ในรถมากแล้ว แต่ฉันไม่ยอม ฉันบอกว่าฉันรักเสียงขันของมัน ฉันอยากเอามันไปอยู่ด้วย เวลามันขันฉันจะได้คิดถึงทุก ๆ คนที่อยู่ทางบ้าน เพราะไม่มีใครทางบ้านที่จะไปอยู่กับฉันได้เลย ฉันจึงอยากให้มันเป็นตัวแทนของทุกคน เราช่วยกันเอาลวดผูกกับซี่ลวดด้านบนของกรงแล้วจึงผูกกับราวใต้หลังคารถ เวลารถวิ่งกรงมันจะแกว่งไปมา น่าสงสารมันเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันจะเมารถหรือเปล่า
ระยะทางจากบ้านของฉันไปถึงจุดหมายปลายทางเกือบ 90 กิโลเมตร ถ้าเป็นสมัยนี้ รถวิ่งชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว แต่สมัยนั้นพวกเราไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเกือบ ๆ ห้าโมงเย็น ประกอบกับฝนตกหนักมาตลอดทาง จึงทำให้เหมือนบรรยากาศจะมืดเร็วกว่าปกติ เมื่อเลี้ยวรถเข้าปากทางมาได้เล็กน้อย คนขับก็หยุดรถแล้วลงมาบอกว่า
“จะไปต่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ทางเป็นถนนดินอีกตั้งเก้ากิโล”
พวกเราสี่สาวพี่น้องไม่รู้จะออกความเห็นว่าอย่างไร จึงปล่อยให้เป็นธุระของพ่อกับแม่และคนขับรถตัดสินใจกันเอง
ทางที่เราจะไปกันนี้ พวกเราและแม้แต่คนขับรถก็ไม่เคยไปกันมาก่อน เราจึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะได้พบเจออะไรบ้าง ตกลงเราต้องเดินหน้ากันต่อ สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านมาจะเป็นป่าลาน ต้นไม้ใหญ่ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง พวกเราเห็นไร่ฝ้ายเป็นครั้งแรกในชีวิต เห็นไร่ข้าวโพดข้าวฟ่าง กลิ่นดินเมื่อถูกฝนทำให้หอมชื่นใจแบบแปลก ๆ พวกเราไม่ค่อยได้กลิ่นเช่นนี้นัก เพราะเราเกิดในเมือง เติบโตในเมือง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะต้องเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อน และฝนก็ช่างไม่เป็นใจเลย ตกหนักมาตลอดทาง ถนนดินนั้นเมื่อถูกน้ำฝน ก็จะทั้งเฉอะแฉะและลื่น มีหลายครั้งที่รถที่เรานั่งกันไปลื่นไถลออกนอกถนน พวกเราส่งเสียงวิ๊ดว๊ายแต่น้ำเสียงก็ยังเจือปนไปด้วยความสนุกสนาน
เลยปากทางจากถนนใหญ่มาหลายกิโลพอสมควร สภาพของถนนเริ่มลำบากมากขึ้นเหมือนไม่ใช่ถนน น่าจะเป็นทางเดินหรือทางเกวียนมากกว่า บางแห่งมีหล่มลึกท่วมเข่า คนขับรถพยายามหลบแต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากมาก มาตอนหลังฉันจึงได้รู้ว่าหล่มลึก ๆ นั้น เกิดจากรอยล้อของรถไถนั่นเอง ใกล้จะเข้าหมู่บ้าน รถของเราติดหล่ม พวกเราทั้งหมดจึงลงไปช่วยกันเข็น แต่ก็ไม่สามารถทำให้รถขยับเขยื้อนได้เลย นอกจากนั้น ล้อรถที่หมุนติดหล่มอยู่นั้นยังได้ดีดเอาดินโคลนกระเด็นมาเต็มเนื้อเต็มตัวพวกเราจนจำสภาพเดิมแทบไม่ได้ พ่อแม่และคนขับเริ่มวิตกกังวล ความสนุกของพวกเราก็หมดลงไปด้วย เวลาก็เริ่มจะมืดลงทุกที พอดีมีรถไถคันหนึ่งผ่านมาพบ คุณลุงคนขับรถไถบอกให้พวกเรารออยู่ตรงนั้นก่อนและแกก็ขับรถไถเข้าไปในหมู่บ้าน สักพักแกก็กลับมามีคนนั่งบนรถไถมาด้วยสองสามคนและมีผู้ชายหนุ่ม ๆ เดินตามมาอีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อทุกคนมาถึงเรามีการทักทายกัน แล้วคุณลุงคนขับรถไถก็บอกให้คนที่ตามมานั้นช่วยกันยกข้าวของบนรถลงจากรถและช่วยกันถือคนละไม้คนละมือเพื่อนำไปส่งยังจุดหมายปลายทาง อะไรที่เป็นของหนักเช่นโอ่งน้ำ เครื่องครัว คุณลุงก็มีน้ำใจใช้รถไถบรรทุกไปให้ พวกเราเองก็ช่วยยกช่วยถือในสิ่งที่กำลังของพวกเราพอจะทำกันได้ แต่ส่วนมากจะเป็นของชิ้นเล็ก ๆ และมีน้ำหนักไม่มากนัก พ่อถามคนที่มาช่วยยกของว่าอีกนานไหมกว่าจะถึง เขาตอบว่าประมาณหนึ่งกิโลเมตร ถ้าเป็นปัจจุบันฉันคงไม่ไหวแน่ แต่ตอนนั้นพวกเรากลับคิดว่าอีกกิโลเดียวเอง ระยะทางที่เดินจากจุดที่รถติดหล่มก็จะผ่านตลาดของหมู่บ้าน ซึ่งจะมีร้านค้าเล็ก ๆ และบ้านผู้คนอยู่ค่อนข้างหนาตากว่าตามถนนที่เราผ่านมา และมีถนนที่เป็นดินลูกรังที่มีหินปนอยู่บ้าง ทำให้การเดินพอจะทรงตัวอยู่ได้ไม่ลื่นมากนัก ผู้คนที่นั่งอยู่ตามบ้านหรือร้านค้าของหมู่บ้านต่างมองพวกเราเป็นตาเดียว ฉันและน้อง ๆ เริ่มมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง พวกเรามองตอบเขาและยิ้มให้ ทุกคนยิ้มตอบและพวกเขาก็คงจะพูดถึงพวกเราด้วย เพียงแต่ระยะไกลทำให้เราไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเราว่าอย่างไร แต่ฉันคิดว่าเขาคงพูดถึงพวกเราในทางที่ดีอย่างแน่นอน
“ว๊าย..ย..ช่วยด้วย”
พวกเราได้ยินเสียงร้องนี้เมื่อเดินผ่านตลาดมาแล้ว ถนนที่ต่อจากถนนในตลาดจะเป็นถนนดิน เมื่อเปียกฝนจะเป็นโคลนเหนียวมาก พวกเราเคยอยู่กันแต่ถนนลาดยางในเมืองเมื่อต้องมาเดินบนถนนโคลนอย่างนี้ เราจึงทรงตัวไม่ได้ และเสียงร้องเมื่อสักครู่ก็คือเสียงร้องของน้องสาวฉันเอง เธอลื่นล้มเปรอะเปื้อนดินโคลนไปทั้งตัว พวกเราหันไปมองแล้วก็หัวเราะดัง ๆ ออกมาเกือบจะพร้อม ๆ กัน เราดูคนที่มาช่วยเราถือของทุกคนไม่ได้สวมรองเท้า เดินด้วยเท้าเปล่าทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ แต่พวกเราไม่เคยเราจึงสวมรองเท้าเดินและในที่สุดดินโคลนเหนียว ๆ ก็พอกรองเท้าเราเสียหนาเตอะจนไม่สามารถเดินต่อไปได้ พวกเราจึงมีภาระเพิ่มขึ้นอีกอย่างคือนอกจากจะถือของที่เตรียมมาแล้ว เราต้องหิ้วรองเท้าที่มีโคลนหนา ๆ ติดอยู่ อีกคนละหนึ่งคู่
เราถึงจุดหมายปลายทางด้วยความเมื่อยล้าไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตะวันก็ใกล้จะตกดินเต็มที คนขับรถขอแรงคุณลุงเจ้าของรถไถไปช่วยดึงรถขึ้นจากหล่ม พ่อแม่และน้อง ๆ ช่วยกันจัดของให้ฉัน ทุกคนช่วยกันทำด้วยความเร่งรีบ เพราะอากาศเริ่มจะมืดจริง ๆ แล้ว และทุกคนที่มาส่งฉันก็จะต้องเดินทางกลับบ้าน แม่กลัวว่าเมื่อทุกคนเดินทางกลับ ฉันจะต้องจัดบ้านทำความสะอาดบ้านคนเดียว แม่จึงบอกให้ฉันไปตักน้ำจากคลองหลังบ้านมา เพื่อเตรียมที่จะถูบ้านหลังจากช่วยกันปัดกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งบอกให้พ่อและน้องเดินไปเป็นเพื่อนฉัน เพราะข้างทางลงไปสู่คลองนั้นจะมีป่าละเมาะและต้นหญ้าคาสูงท่วมเอวและค่อนข้างรก
“ไม่ต้องหรอก หนูไปคนเดียวได้ ช่วย ๆ กันอยู่ทางนี้ก็แล้วกัน”
ฉันบอก ก่อนที่จะเดินถือถังน้ำลงไปทางหลังบ้าน โดยไม่ได้สวมรองเท้าไปด้วยเนื่องจากได้รับบทเรียนเรื่องโคลนติดรองเท้าตอนที่เดินมาแล้ว แต่เพียงเท้าแตะดินได้ไม่กี่ก้าว ฉันก็ต้องวิ่งกลับเข้ามาในบ้านอย่างไม่คิดชีวิต ขนลุกขนพอง สั่นไปหมดทั้งตัว ทุกคนตกใจพากันถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันพูดอะไรไม่ออก น้ำตาพาลจะไหลให้ได้ พ่อซึ่งเป็นตำรวจและวันนั้นท่านพกปืนไปด้วย ท่านปลดปืนลงมาถือในท่าที่พร้อมจะป้องกันอันตรายให้ โดยบอกให้ฉันพาท่านไปดูซิว่าเจออะไรมา ทุกคนมองหน้าฉันและคอยฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะน้องสาวทั้งสามคนของฉัน ความเป็นผู้หญิงและยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นทำให้พวกเธอกลัวจนหน้าซีดพูดอะไรไม่ออก แม่ถามฉันอีกว่าเจออะไรมา ฉันจึงกลั้นใจตอบไปว่า
“ไส้เดือนน่ะแม่...อื๋ยยย..ตัวยาวเป็นฟุตเลย....ทั้งยาวทั้งใหญ่...ใครจะไปตักน้ำก็ไปเถอะ..หนูไม่เอาด้วยแล้ว....”
พ่อกับแม่หัวเราะออกมาเกือบจะพร้อมกัน แล้วพ่อก็พูดว่า
“ก็เมื่อกี้ตอนเดินมาน่ะ...มันเลื้อยอยู่เต็มถนน มัวเดินลอยหน้าลอยตาเป็นนางงามอยู่น่ะสิ ถึงได้ไม่เห็นน่ะ....เห็นชาวบ้านมองเข้าหน่อย...เดินยืดใหญ่...แม่คุณครูคนใหม่..”
แล้วทุกคนก็ประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้งโดยมีฉันยืนหน้ามุ่ยอยู่คนเดียว
และวันนั้น วันที่ฉันยังถวิลหาอยู่ทุกวันนี้ ก็คือวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2522 วันที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรีออกคำสั่งแต่งตั้งให้ฉันเดินทางไปรับตำแหน่งครู 2 ระดับ 2 โรงเรียนบ้านน้ำสุด อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี นั่นเอง......
*******************
ขอบคุณ ศน.อ้วน
ที่กรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดอกทานตะวันแสนน่ารัก
ให้มาประดับบันทึกของครูแจ๋ว ขออนุญาตไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
จ๊ะเอ๋
ยังไม่ได้อ่านบันทึกค่ะ
อิอิ
โห อ่านแล้วได้เห็นภาพ
แต่ไม่มีภาพ อิอิ
รับไส้เดือดทอดไม่ค้า
คนที่นึกถึงความหลัง....เขาเรียก..อะไรหน๊า.??
สวัสดีครับ
สนุก ตื่นเต้น เลอะเทอะ ลำบากลำบน ครบถ้วนเลยครับ
เคยเจอสภาพคล้ายๆ แบบนี้เมื่อนานมาแล้ว
ปัจจุบันคงไม่ค่อยมีถนนอย่างนี้
เคยไปพัฒนานิคม เมื่อสี่ห้าปีก่อน
ไปโคกสลุง อยู่ไกลตัวเมืองไม่น้อยเลย
อี๊ย ทั้งใหญ่ ทั้งยาว ทำเอาคิดไปได้หลายอย่าง
ไส้เดือนเองนะครับ โล่งอก
มาชม
เห็นหัวข้อชวนให้คึก...ลิด...ดีแท้นะนี่ อิ อิ อิ
พี่แจ๋วขา..ถ่ายทอดภาพในอดีตได้ชัดเจนมากมาก...
ขอรำลึกถึงความหลังด้วยคนนะคะ
พี่ครูแจ๋วคะ มาฟังเรื่องอดีตค่ะ 2522 ยาวนานมาก น้องยังเป็นวุ้นอยู่เลย (เรื่องทำงานนะค่ะ)
พี่ครูวรางค์ภรณ์ขา หนูอยากได้เบอร์โทรพี่จังเลยค่ะ ช่วยเมล์เบอร์โทรมาให้น้องครูปูหน่อยนะคะ
เคยเมล์เบอร์โทรหนูไปให้แล้วครั้งหนึ่งค่ะ ไม่ทราบได้รับไหม
อาจได้ไปเยี่ยมพี่เร็ว ๆ นี้ค่ะ อิอิ
ถามเผื่อไว้ก่อนค่ะ ถ้าได้ไปก็น่าจะดีค่ะ ^_^
สวัสดีค่ะ
พี่แจ๋วที่รัก
น้องแอ้ดคนนี้ต้องเข้มแข็งค่ะ..มีอะไรอีกหลายอย่างรอเราอยู่
อ่อนแอทำให้เราแพ้..แพ้แม้แต่ตัวเองนะคะ
รักพี่แจ๋วมากมายค่ะ
สวัสดีค่ะคุณครู วรางค์ภรณ์ เนื่องจากอวน
สวัสดีคะ คุณครูพี่แจ๋ว...
อิอิ...พอลล่าไปบุกลพบุรีมาค่า
คิดถึงๆๆๆ ค่ะ
สวัสดีครับ
แวะมาเยี่ยม
ขออนุญาตนำสาระที่มีประโยชน์ในบันทึกของท่านไปเผยแพร่ในรายการ..ดูรายละเอียดในตอนท้าย http://gotoknow.org/blog/somdejmas/250135 ครับ
ขอบคุณครับ
คุณพี่ครูแจ๋วขา
สวัสดีค่ะ
ตามมาดูคุณครูพี่แจ๋ว เจอน้องพอลล่าหรือยัง เธอไปลพบุรี อิอิๆๆ เจอกันแล้วเอารูปมาให้ดูบ้างนะครับ น้องตกใจชื่อบันทึกพี่ ฮ่าๆๆ
สวัสดีคะครูแจ๋ว
บรรจุทำงานปีเดียวกันเลยคะ
แต่ไก่ไม่ต้องเดินทางลำบากมาก
บ้านอยู่ไม่ไกลที่ทำงาน
แต่แม่ก็ขนของให้ทุกอย่างที่จะขนไปได้
ยกเว้นที่ขนไม่ได้คือเตียง
หัวหน้าพยาบาลต้องออกเงินไปซื้อเตียงมาให้นอนแล้วผ่อนต่อทีหลัง
พี่แจ๋วขา...เมื่อวานเป็นวันครบ1เดือนของการจากไปของแม่
พี่แจ๋วขา..น้องสาวของพี่แจ๋วคิดถึงแม่มากมาก
น้องสาวของพี่แจ๋วเข้าไปในห้องแม่..กอดเสื้อผ้าแม่
หอมกลิ่นของความอบอุ่นนั้น..พับเสื้อผ้าให้แม่ใหม่
ซึ่งน้องแอ้ดจะทำประจำถ้าคิดถึงแม่
ยิ่งจับเสื้อผ้าชุดโปรดของแม่ยิ่งร้องใหญ่
ปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างไม่หยุดยั้งมันไว้
ร้องจนสะใจ...ตื่นเช้ามาตาบวมเฉ่งเลย...
แต่ใช่ว่าอ่อนแอนะคะ...สู้ได้สบายสบายไม่เคยท้อ
เอาความเศร้ามาเล่าให้พี่สาวฟังอีกแล้ว...
นอนหลับฝันดีนะคะพี่ที่รัก
พี่แจ๋วจ๋า..
พี่แจ๋วรับตำแหน่ง ครู 2 ระดับ 2 หนูเพิ่งจะเข้าอนุบาล ^__^
อ่านแล้วนึกถึงตอนหนูไปบรรจุใหม่ๆจัง กว่าจะไปถึงโรงเรียน ทรหดชะมัด อิ.อิ..
คิดถึงนะคะ ..
มาทักทาย
แบบสบาย ๆ
มาขอบคุณที่เข้าไปทักทายค่ะ
แวะมารักพี่สาวและขอบคุณพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง
แล้วจะถ่ายรูปมาอวดนะคะ..กับเสื้อลพบุรีแสนน่ารัก
ฮือ ฮือ
วันนี้ครูแจ๋วทำให้กอมีน้ำตา
ขอบคุณน่ะค่ะครู
วันนี้ก็รู้สึกเขิน
ไม่รู้ทำไม
ไม่กล้าโทรไปหาครูแจ๋วค่ะ
แต่ขอขอบคุณครูแจ๋วมาก ๆ เลยน่ะค่ะ
อ่านเรื่องครูบรรจุใหม่แล้ว เห็นภาพ และประทับใจครับ
แวะพาน้องอุ๋มอิ๋มมาไหว้ป้าแจ๋วค่ะ..เขาขับเก่งแล้วค่ะแต่ยังไม่กล้าให้ออกถนนใหญ่..เขาเป็นคนกล้ากว่าที่เราคิดค่ะ
มาทักทายค่ะ..
คิดถึงคุณครูเช่นกันครับ
สวัสดี ครับ คุณ
และก็ทำรูปนี้เอาไว้ ...ตั้งใจจะเขียนบันทึกแนบไปกับรูปนี้ เลยถือ
โอกาสมอบให้ ครูเลยครับ
สวัสดีค่ะ
ครูแจ๋วค่ะ
ลองไปฟังเพลงที่บ้านกอค่ะ
ทำไมโจอี้บอยถึงทำเพลงออกมาขนาดนั้นเลย
สวัสดีค่ะ ... คุณครู วรางค์ภรณ์ เนื่องจากอวน
* แวะมาอ่าน... เรือ่งของคุณครูคนใหม่ด้วยคนนะคะ...
* ชีวิตครูต้องพบเหตุการณ์และหนทางที่ยากลำบากเสมอจริง ๆ ค่ะ...
* ช่วงนี้มีมรสุม... ดูแลตัวเองด้วยนะคะ...
สวัสดีครับ
ไปดูน้ำใจของทุกท่านที่บล็อกผม
ขอบคุณครับ
พี่แจ๋วขา...แวะเอาเจ้าจ๋อน้อยมาคารวะจ้า
ขอบคุณนะคะ..สำหรับเจ้าจ๋อน่ารัก..
สวัสดีค่ะ
* อยากเห็นตัวครูที่ทั้งใหญ่ ..ทั้งยาว...๕๕๕๕
* สุขกายสุขใจนะคะ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีคะ
ความจริงเห็นหัวข้อแล้วไม่อยากเข้ามาเลยนะคะ
มียางอายคะ คริ คริ
แต่ก็คิดว่าถึงอย่างไร คุณครูวรางค์ไม่สัปดนคะ
หลับตาเข้ามาอ่านนะคะ
...................................