CSR เป็นประเด็นร้อนแรงซะเหลือเกิน คงไม่ได้กล่าวเกินจริง เพราะในปัจจุบันย้อนหลังไป 6 เดือน มีสัมมนาหรือการประชุมเรื่องนี้นับไม่ถ้วน กระแสช่างมาแรงจริงๆ
ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะเนื่องมากจากปีหน้านี้จะมีการเริ่มใช้ ISO 26000 ซึ่งในความเป็นจริงประเด็นนี้ถูกนำมาใช้ในหลายด้านและที่สำคัญองค์กรที่มีชื่อเสียงหลายแห่งนำมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทั้งภายนอกและภายในองค์กร การสร้างแบรด์น แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่นำมาใช้ มักจะมีหลายคนที่พูดถึงนิยามที่แน่ชัด ว่า CSR แท้หรือเทียมนั้น แต่โดยความคิดเห็นส่วนตัวกลับมีความคิดว่า ทำไปแล้วรู้สึกสุขใจที่ได้ทำ ก็ทำไปเถอะคะ เพราะท้ายที่สุดมันก็คือทำเพื่อสังคม ทำเพื่อคนอื่น ยังดีที่ได้ทำ ดีกว่าบางคนที่ไม่ได้ทำแล้วมาโจมตีคนอื่น จะทำมากทำน้อยก็ไม่เป็นไร ขอแต่เริ่มที่จะคิดถึงคนอื่นก็นับว่าดีแล้ว
เกิร่นมาซะเยอะแยะ จริงๆแล้วมีความตั้งใจที่จะนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจนั่นคือ การได้รับรู้ว่าสถานประกอบการ/องค์กร ได้นำคุณธรรมมาใช้ในธุรกิจ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะว่าดิฉันมีโอกาสที่ได้ร่วมงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 4 ที่จัดในวันที่ 30-1 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้มีTheme ของงานว่า " ฝ่าวิกฤตด้วยธุรกิจคุณธรรม" CSR และได้เป็นส่วนหนึ่งในห้องย่อยที่เราได้เชิญสถานประกอบการภาคเอกชนมาเล่าสู่กันฟัง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในห้องย่อย คุณธรรมนำธุรกิจ: หลักคิดสำคัญขององค์กรแห่งความสุข นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่หลายองค์กรอยากเรียนรู้ ขอนำบางตอนมาเผยแพร่ ซึ่งคิดว่าเป็นประโยชน์กับบางองค์กรที่กำลังหาความสุข ความสุขเล็กๆๆๆ ที่หาได้ในภาวะนี้และเราอยากสัมผัส
"การดำเนินการที่สร้างให้พนักงานมีจิตสำนึกเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรมในเรื่องของการทำงานหรือการมีส่วนร่วม ทาง รพ. ได้จัดทำเป็นหลักปฏิบัติหลักของเรา 10 ข้อ เรามี vision ที่จะก้าวไปอย่างไร เรามีพันธกิจที่ว่าจะมีความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์และการให้บริการ แล้วเราจะทำอย่างไรน่าจะมีอะไรที่ชัดเจนให้กับน้อง ๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การบริการที่แตกต่างของเราทำให้ รพ. เป็นที่รู้จักกับลูกค้าและเรื่องการดูแลพนักงาน อันดับแรกต้องเป็นลูกค้าที่ได้รับความพึงพอใจเมื่อใช้บริการจากเราเนื่องจากเราทำธุรกิจ เดี๋ยวนี้เราเป็น hostel ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง hospital กับ hotel เมื่อลูกค้ามีความทุกข์มาส่วนใหญ่ลูกค้าที่ไปโรงแรมมาด้วยความสุขและมาเติมให้สุขยิ่งขึ้น แต่บทบาทของเราคือทำอย่างไรเมื่อเขามาอยู่กับเราแล้วเขาจะมีความสุขกลับไป เดี๋ยวนี้เป็นยุคของ hospitel กัน นอกจากดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลแล้วการดูแลเรื่อง customer ก็เป็นหลัก การที่เราจะทำได้พนักงานก็ต้อง happy จึงไปหัวข้อที่สองในเรื่องของพนักงานคือศูนย์กลางและความก้าวหน้า การบริหารของเราเป็นแบบผสมคือนำหลักของการบริหารโรงพยาบาลจากอเมริกามาใช้ มีผู้บริหารระดับสูงที่เป็นชาวต่างชาติก็ลงมาคลุกคลีกับพนักงานเข้ามามีส่วนร่วม ทุก 3 เดือนก็จะมี town hall meeting ผู้บริหารพบพนักงาน เราส่งเมล์เชิญเป็น open invitation แบบเปิดใครสนใจก็เข้ามาร่วมงาน โดยจะจัดเป็น 3 รอบ/วัน รับพนักงานไม่ได้หมดเพราะพนักงานเรามี 3,200 คนยังไม่รวมแพทย์ เวทีนี้สำหรับพนักงาน ที่จัดสามรอบเพราะเราทำงานเป็นกะ เพื่อรองรับพนักงานของเรารับพนักงานร่วมได้ประมาณ 1,200 คน เกิดความใกล้ชิดเพราะเป็นเวทีเปิดจริง ๆ ผู้บริหารมาเล่าให้ฟังว่าสามเดือนทำอะไรไปบ้าง สามเดือนข้างหน้าเราจะทำอะไร เราเจอประเด็นใดบ้าง คนอเมริกันพูดอังกฤษก็แปลไทยให้ session ละชั่วโมงครึ่ง ซึ่ง 1 ชม.เป็นการ one way และอีกครึ่ง ชม.ก็ถามสด มีการ update project ต่าง ๆ ให้พนักงานรับทราบ สุดท้ายเป็นเรื่องของการติดตาม การประชุมครั้งที่แล้วพนักงานถามอะไรค้างไว้ไม่สามารถตอบได้ คราวนี้หลายอย่างก็มีการดำเนินการก็นำมาชี้แจงพนักงานทราบ"
“ศักยภาพของทุกคนมีเท่ากัน องค์กรผมก็ไม่ได้มีอะไรพิสดารมากกว่าทุกท่านแต่เราคิดอะไรก็แล้วแต่ที่มองอีกมุมหนึ่ง เราเปลี่ยนแนวคิดอีกมุมหนึ่ง ลองมายืนอีกมุมแล้วคุณจะเห็นอีกมุม ที่สำคัญผู้บริหารต้องใจกว้าง เราควรเปลี่ยนตัวเองให้มีความสุขให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปเปลี่ยนคนอื่นให้มีความสุข” “เราถือว่าทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญ การปรับทัศนคติของเรา เรามองว่ามาจากหลากหลายครอบครัว ความคิดย่อมแตกต่างกันแต่มาอยู่ในข้อจำกัดเดียวกัน เราจึงต้องปรับความคิดเขาก่อน เราจะมีการสอน สิ่งแรกที่สอนคือการปรับทัศนคติเพื่อให้เขาเข้าใจว่าเป็นใคร เพื่ออะไร จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร จะทำให้เขาเข้าใจตัวเขาเองมากขึ้น คนเราจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเกิดจากภายในก่อนต้องเข้าใจตัวเราก่อนเราถึงจะเปลี่ยนได้” การเติมเชื้อไฟแห่งปัญญาให้กับผู้อ่าน และผู้รักในการทำงานเกี่ยวกับ “คน” ในองค์กร เพื่อผลักดันให้เกิดนโยบายและแนวทางดีดีในการการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตคนทำงานในองค์กรต่อไป เหนือสิ่งอื่นใดที่อยากจะบอก คือ “ความยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นได้แต่ถ้าขาดคุณธรรมก็จะไม่ยั่งยืน” และท่านสามารถเข้าไปดูรายละเอียดในห้องย่อยนี้ได้ดังข้อความที่ดิฉันลิงค์ให้คะ บทสรุป “ฝ่าวิกฤตด้วยธุรกิจคุณธรรม” (ตอนที่1)
เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า "CSR ทำจริง ทำไม่จริง หวังผลประโยชน์ต่อเนื่อง หรือไม่ ก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำไปเถอะ เพราะสุดท้าย ผลประโยชน์ก็ตกที่สังคม" ครับ ปัจจุบันความรับผิดชอบต่อสังคมไม่ได้จำกัดอยู่ที่ภาครัฐอีกต่อไป เอกชนในฐานะของผู้ที่อยู่ในสังคม ใช้ทรัพยากรของสังคม และส่งอิทธิพลในมิติต่างๆ ต่อสังคม ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกันครับ