ใครล่ะจะกล้า "โง่..."


ณ บ้านหลังใหญ่นี้ ...

หากว่าคนชอบปั่นเกลียวความรู้ได้มาเจอ มานั่งล้อมวงคุยกันดั่งที่เราได้คุยกันในบ่ายวันสบายๆ ลมเย็นๆ... นี่ก็ดูท่าจะดีเหมือนกันนะ

แต่ใครเล่าจะกล้ามาได้เนี๊ยะ... เพราะแล้วต้องโดนตีตราแห่งใบหน้าทางโลกว่า ท่านคือ ผู้โง่หนา...ยอมรับต่อตนเองได้เหรือเปล่าเล่าว่า ตนนั้นคือผู้โง่...

บ้านเรานี่เป็นบ้านแห่งการฝึกฝนคนโง่...ให้หายโง่นา...

หรือว่าอย่างไร...?

ที่มาจากบันทึกชมรมนักปั่น "สัญจร" ครั้งที่ ๑ )


ก้าวแรกของการที่จะหายโง่ได้นั้นคือต้อง "ยอมรับความโง่"
บ้านหลังนี้จึงมีหน้าที่เปิดตา เปิดใจให้เรายอมรับความโง่...

 

ใครล่ะทิ้งงาน ทิ้งเงิน ทิ้งเกียรติยศ ทิ้งชื่อเสียง มาทำอะไร "โง่ ๆ" มาล้างห้องน้ำ ล้วงคอห่าน กวาดถูตึกหลังเบ้อเริ่ม ใครล่ะจะ "โง่" มาทำ...!


ใครล่ะจะทิ้งชุดสวย ๆ งาม ๆ มาใส่เสื้อสีขาวแขนยาวราคาถูก ๆ ไม่มียี่ห้อ ใส่ผ้านุ่ง ผ้าถุง ที่ใครต่อใครเขาก็ว่าล้าสมัย ว่า "เชย"


ใครล่ะจะโง่ทิ้งหนัง ทิ้งละคร มา "สัญจร" ในอยู่ที่ไม่มีสื่อ ไม่มีแสง ไม่มีสี ไม่มีดนตรี ไม่มีการขับร้อง ฟ้อนรำ...!


ใครล่ะจะทิ้งอาหารรสชาดโอชา ที่สามารถขวนขวายหาได้ ๓ มื้อ ซึ่งต้อง "โง่" มาทนกับความหิว ความอยาก ที่วัน ๆ หนึ่งต้องฝากท้องไว้กับอาหารมังสวิรัติเพียงมื้อเดียว...!


ใครล่ะจะมายอมกินข้าวใน "กาละมัง" กับช้อนงอ ๆ คันสั้น ๆ ที่ไม่สวยงาม...!


ใครล่ะที่จะ "โง่" เช่นนี้ และมีความโง่อีกมากมายที่เหลือจะคณานับ

โง่ไหมที่มา โง่น้อยลงไหมเมื่อกลับไป ความโง่มากหรือน้อยลงอย่างไร ใครต่อใครนั้นต้องรู้ได้ด้วยตนเอง...

มาที่นี่ไม่มีเตียงนุ่ม ๆ ให้นอนนะ มีเพียงเสื่อและผ้าห่มผืนบาง ๆ ไว้ปูนอน หน้าหนาวก็หนาวจับใจเลยนะ

มาสัญจรกันที่นี่ไม่เหมือนโรงแรมนะ ไม่มีแอร์ ไม่มีน้ำอุ่น ไม่มีแสง สี เสียง วงดนตรี

ไม่มีเหล้า บุหรี่และ "การพนัน..." เวลามืดก็มืดตึ๊ดตื๋ออออ

ต้องตื่นแต่ตีสาม กว่าจะได้กินข้าวก็เกือบสามโมงเช้า มีมื้อเดียวด้วยนะ "มื้อเดียว กาละมังเดียว..."

ตื่นมาก็ต้องทนหนาวไปนั่งคุกเข่า พับเพียบ ทำวัตร สวดมนต์

ตีห้าก็ต้องมาล้างห้องน้ำ กวาดถูศาลา ทำอาหาร

กินข้าวเสร็จแล้วหนีไปนอนก็ไม่ได้ ต้องทำงาน ทำงาน แล้วก็ "ทำงาน..."

บ่ายสามก็เก็บกวาด ทำความสะอาดอีกแล้ว

สี่โมงกว่า ๆ ห้าโมงก็มีน้ำหวานให้ดื่มหน่อย ไม่ดื่มก็อดนะ

พอหกโมงเย็น ต้องไปนั่งสมาธิอีกแล้ว ทำวัตรสวดมนต์ถึงสองทุ่ม

หลังจากนั้นก็เดินจงกลมอีกแล้ว ห้าหกทุ่มถึงได้นอน

แล้วใครจะ "โง่" มา "สัญจร" กับเราหว่า...?

 

 

แต่ที่นี่นี่เองเป็นห้องเรียนรู้ที่กว้างใหญ่

เป็นห้องเรียนรู้เพื่อเดินเข้าไปสู่จิต สู่ใจ

เป็นห้องเรียนรู้ที่มีไว้เพื่อ "ใจจริง..."

 

หมายเลขบันทึก: 302486เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2009 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

บ้านหลังนี้อยู่ที่ ไหนครับท่านไป แล้วโง่น้อยลงก็ อยากจะไปครับ

ห้องเรียนที่กว้างใหญ่นี้

ให้อะไรมากมายนัก

ให้เห็นคนทำดีอย่างบริสุทธิ์ใจ

เห็นผู้ให้อย่างเมตตาไม่มีประมาณ

เห็นความรักบริสุทธิ์ปราศจากความใคร่

เห็นหัวใจที่บริสุทธิ์งดงาม

เห็นความอ่อนน้อม ที่ไม่เลือกชนชั้น

เห็นความกตัญญูรู้คุณคน

เห็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างนอบน้อมจากภายใน

เห็นความเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างเบิกบาน

เห็นสังคมที่งดงาม มีจริง

ในสังคมนั้นใคร ๆ ก็ตั้งใจไป "ทำความดี" สังคมแห่งคนตั้งใจดีจึงเป็นสังคมที่ "บริสุทธิ์"

เก็บเกี่ยวพลังแห่งความสุขนั้นเพื่อมาอยู่และต่อสู้กับสังคมที่แท้จริง สังคมที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน สังคมที่มีรัก มีเกลียดชัง อันเป็นสังคมที่รุงรังด้วย "ผลประโยชน์"

ไปอยู่ ไปพบ ไปเจอสังคมนั้นแล้ว ก็ขอให้จด ให้จำ ให้มี "นิสัย" ติดตัวไปในทุกที่ ทุกแห่งหน

ตราบใดที่ชีวิตนี้เรายังอยู่ เป็นผู้ เป็นคน ก็ย่อมไม่อับจนเพราะ "ใจดี..."

เมื่อเหนื่อยให้ยิ้มสู้ เมื่อยังอยู่ให้สู้ไว้

ใครว่าเรา เราตอบเขา ด้วย "อภัย"

ใจดีไว้ อยู่ที่ใด ไม่สิ้นทาง...

ใจดีนะ ใจดี ใจดี ๆ มีให้ มีแบ่งปัน

สังคมนี้จักสุขสันต์ ร่วมแบ่งปัน ด้วย "ใจดี..."

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท