ผมจะเดินทางร่วมกับคณะผู้นำสหกรณ์ขั้นสูงรุ่นที่ 5 ไปปักกิ่ง คืนวันอังคารที่ 31 นี้
ดีใจที่ได้สร้างผู้นำอีก 50 คน
ไปครั้งนี้ ผมไปร่วมแค่ 2 วัน ต้องรีบกลับมาช่วยกลุ่มอีสาน มุกดาหาร แต่ก็คิดว่า เป็นโอกาสที่ดีที่จะอยู่ร่วมกับทุกๆท่าน ซึ่งเป็นรุ่น 5 และใกล้ชิดกับผมมากขึ้น
การสร้างผู้นำคือเน้น 5E –E ที่จะใช้ก็คือ Experiences
ขอให้ทุกๆคนเตรียมเขียน Blog ว่า
ประเทศจีนกับไทย ในอนาคต จะเน้นทำงานร่วมกันอย่างไร
-สหกรณ์ของเขากับเราแตกต่างกันอย่างไร
-ประทับใจอะไรบ้าง
-มีบทเรียนกับตัวเอง เรื่องอะไร
-ช่วยทำให้เราเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
คลิกดูกิจกรรมที่ผ่านมาได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้
ภาพบรรยากาศการศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีน เมื่อวัน 1 - 4 กันยายน 2553
สวัสดีค่ะอาจารย์และเพื่อนๆผนส.5ทุกคน
ตั้งแต่กลับจากปักกิ่งยังไม่มีเวลาประมวลผลหน่วยความจำและหน่วยบันทึกในสมองเลยค่ะ
เลยยังไม่ได้ส่งการบ้าน
แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาว่าจะส่งก่อนวันที่ 17 กันยานี้แน่นอนค่ะ
ศิริวรรณ
ขอขอบพระคุณ อาจารย์จีระ ที่ได้เปิด Block ใหม่ให้พวกเรา มั่นใจว่าจะได้ใช้ประโยชน์ตลอดไป
ขอให้เพื่อน ผนส.5 เข้ามาสื่อสารกันบ่อยๆ นะครับ ตอนนี้หายเหนื่อยแล้ว แต่งานเยอะน่าดู มีประชุมมากๆๆๆๆ
คิดถึงทุกท่านเสมอ
ศิริชัย ออสุวรรณ ผนส.5
ส่งการบ้าน อ.จีระ ข้อ 1. ประเทศจีนกับไทยในอนาคตจะเน้นทำงานร่วมกันอย่างไร 1.1 การลงทุนทำธุรกิจการค้าส่งออกสินค้าจำพวกอาหาร จีนน่าจะเป็นตลาดใหญ่ของการส่งออกสินค้าจำพวกอาหาร/ผลิตผลการเกษตรเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ผลไม้ต่างๆ 1.2 ความร่วมมือกันทางด้านการผลิต เทคโนโลยีใหม่ๆ ข้อ 2. สหกรณ์ของเขากับเราแตกต่างกันอย่างไร ได้เห็นบรรยากาศการประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนสมาชิกขององค์การสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ สำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค (International Cooperative Alliance,Asia and Pacific - ICA AP)ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมนานาชาติปักกิ่ง (Beijing International Convention Center - BICC)และมีการจัดงานแสดงสินค้าสหกรณ์ด้วย 2.1 สังเกตเห็นได้ว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน และให้ความสำคัญกับสหกรณ์ ทำให้สหกรณ์เป็นที่รู้จักของหน่วยงานและเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป 2.2 แบรนด์สินค้าสหกรณ์เป็นที่ยอมรับ ผลผลิต/ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี 2.3 ความเป็นเมืองที่มีการปกครองระบบพรรค บริหารงานแบบรวมศูนย์ ทำให้นโยบายต่างๆได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เห็นผลได้ชัดเจน ทุกคนยอมรับ เชื่อฟังและปฏิบัติตาม ข้อ 3. ประทับใจอะไรบ้าง 3.1 เท่าที่ได้สัมผัสเมืองหลวงของประเทศจีนอยู่สามวัน สังเกตได้ว่าแม้การจราจรจะหนาแน่นแต่ก็ไม่ค่อยเห็นมีควันพิษจากท่อไอเสีย ได้ทราบจากไกด์ท้องถิ่นว่า จีนมีนโยบายให้ใช้เฉพาะรถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมันดีเซล 3.2 สนับสนุนประชาชนใช้รถจักรยาน มีทางสำหรับการใช้รถจักรยานชัดเจน 3.3 ความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษ / ความเพียรพยายามในการเอาชนะอุปสรรค-ปัญหาต่างๆ 3.4 อารยธรรมและสิ่งก่อสร้างที่ได้ไปเยี่ยมชม เช่น กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้าม สุสานเหมาเจ๋อตุง ข้อ 4. มีบทเรียนกับตัวเอง เรื่องอะไร การจัดการประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ / การจัดการในการอำนวยความสะดวกผู้เข้าสัมมนา เช่น ชุดหูฟัง(แปลภาษา) / การรักษาความปลอดภัย / การจัดนิทรรศการแสดงสินค้าสหกรณ์ ข้อ 5. ช่วยทำให้เราเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้ารับทั้งผิดและชอบ การจะพัฒนาคนให้เป็นผู้นำต้องมีการปลูกฝัง ให้ความรู้ ให้โอกาสในการตัดสินใจ ควรต้องเริ่มตั้งแต่ระดับเยาวชน ให้ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ เอาจริงเอาจัง เรียนรู้ ฝึกฝน ดังเช่นที่ประเทศจีนเป็นหนึ่งในกีฬาหลายๆด้าน ก็มีการคัดและฝึกเยาวชนแต่ยังเด็ก
ส่งการบ้าน อ.จีระ
ข้อ 1. ประเทศจีนกับไทยในอนาคตจะเน้นทำงานร่วมกันอย่างไร
1.1 การลงทุนทำธุรกิจการค้าส่งออกสินค้าจำพวกอาหาร จีนน่าจะเป็นตลาดใหญ่ของการส่งออกสินค้าจำพวกอาหาร/ผลิตผลการเกษตรเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ผลไม้ต่างๆ
1.2 ความร่วมมือกันทางด้านการผลิต เทคโนโลยีใหม่ๆ
ข้อ 2. สหกรณ์ของเขากับเราแตกต่างกันอย่างไร
ได้เห็นบรรยากาศการประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนสมาชิกขององค์การสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ สำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค (International Cooperative Alliance,Asia and Pacific - ICA AP)ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมนานาชาติปักกิ่ง (Beijing International Convention Center - BICC)และมีการจัดงานแสดงสินค้าสหกรณ์ด้วย
2.1 สังเกตเห็นได้ว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุน และให้ความสำคัญกับสหกรณ์ ทำให้สหกรณ์เป็นที่รู้จักของหน่วยงานและเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป
2.2 แบรนด์สินค้าสหกรณ์เป็นที่ยอมรับ ผลผลิต/ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดี
2.3 ความเป็นเมืองที่มีการปกครองระบบพรรค บริหารงานแบบรวมศูนย์ ทำให้นโยบายต่างๆได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เห็นผลได้ชัดเจน ทุกคนยอมรับ เชื่อฟังและปฏิบัติตาม
ข้อ 3. ประทับใจอะไรบ้าง
3.1 เท่าที่ได้สัมผัสเมืองหลวงของประเทศจีนอยู่สามวัน สังเกตได้ว่าแม้การจราจรจะหนาแน่นแต่ก็ไม่ค่อยเห็นมีควันพิษจากท่อไอเสีย ได้ทราบจากไกด์ท้องถิ่นว่า จีนมีนโยบายให้ใช้เฉพาะรถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมันดีเซล
3.2 สนับสนุนประชาชนใช้รถจักรยาน มีทางสำหรับการใช้รถจักรยานชัดเจน
3.3 ความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษ / ความเพียรพยายามในการเอาชนะอุปสรรค-ปัญหาต่างๆ
3.4 อารยธรรมและสิ่งก่อสร้างที่ได้ไปเยี่ยมชม เช่น กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้าม สุสานเหมาเจ๋อตุง
ข้อ 4. มีบทเรียนกับตัวเอง เรื่องอะไร
การจัดการประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ / การจัดการในการอำนวยความสะดวกผู้เข้าสัมมนา เช่น ชุดหูฟัง(แปลภาษา) / การรักษาความปลอดภัย / การจัดนิทรรศการแสดงสินค้าสหกรณ์
ข้อ 5. ช่วยทำให้เราเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร
กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้ารับทั้งผิดและชอบ
การจะพัฒนาคนให้เป็นผู้นำต้องมีการปลูกฝัง ให้ความรู้ ให้โอกาสในการตัดสินใจ ควรต้องเริ่มตั้งแต่ระดับเยาวชน ให้ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ เอาจริงเอาจัง เรียนรู้ ฝึกฝน ดังเช่นที่ประเทศจีนเป็นหนึ่งในกีฬาหลายๆด้าน ก็มีการคัดและฝึกเยาวชนแต่ยังเด็ก
ผมขอส่งการบ้าน อ.จีระ
ข้อ 1. ประเทศจีนกับไทยในอนาคตจะเน้นทำงานร่วมกันอย่างไร
ประเทศไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และในอนาคต ไทยและจีนควรมีความร่วมมือกันในด้านต่างๆ ดังนี้
1.1 ส่งเสริมความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ยั่งยืน ลดข้อกีดกันทางการค้า
1.2 ไทยควรส่งออกหรือพัฒนาผลิตผลที่เพิ่มมูลค่าในการไปจำหน่ายยังประเทศจีน
1.3 ส่งเสริมด้านการศึกษา ระหว่าง 2 ประเทศ โดยฉพาะภาษาจีน
ข้อ 2. สหกรณ์ของเขากับเราแตกต่างกันอย่างไร
เท่าที่ไปสังเกตการประชุม ICA และชมการแสดงสินค้าเกษตร พบว่า ระบบสหกรณ์ของจีนนั้นเข้มแข็งมาก ในการติดต่อกับสหกรณ์ของจีน ต้องติดต่อผ่านหน่วยงานที่คล้ายๆ สันนิบาตบ้านเรา มีการรวมตัวกันที่เข้มแข็ง สมาชิกส่วนใหญ่มีความจริงใจในการเป็นสมาชิก รวมถึงรัฐบาลมีอำนาจในการควบคุม ทำให้สหกรณ์มีความเป็นเอกภาพ ส่วนของไทย เท่าทีรับฟังข้อมุลจากพี่ๆ พบว่าสหกรณ์ของเราค่อนข้างสมัครใจ จนบางทีสมาชิกไม่ค่อยเห็นคุณค่า และคอยจะมารับแต่ประโยชน์จากสหกรณ์ พอที่อื่นขายได้ราคาดี ก็ไปขาย แต่พอราคาไม่ดีก็มาให้สหกรณ์ช่วยเหลือ น่าจะมีการพัฒนาให้สมาชิกเห็นถึงคุณค่าของสหกรณ์
ข้อ 3. ประทับใจอะไรบ้าง
- รูปแบบธุรกิจที่รัฐบาลส่งเสริม เป็นตัวทำรายได้เข้าประเทศได้ดี มีการสร้างเรื่องเล่าที่น่าสนใจเพื่อเป็นจุดขายในแต่ละส่วน ตั้งแต่ที่ไกด์ปูเรื่องราวบนรถ จนถึงการไปซื้อที่สถานที่จริง ที่มีความน่าสนใจ
- ความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ที่มีขนาดที่ใหญ่และประชากรที่มาก จนไม่น่าเชื่อว่าเราจะเป็นหนึ่งในประเทศที่จีนใกล้ชิดและรู้จักมากที่สุดประเทศหนึ่ง พนักงานขายหลายๆแห่งพูดไทยได้
ข้อ 4. มีบทเรียนกับตัวเอง เรื่องอะไร
- การได้ไปดูงานและฟังบรรยายที่สถานทูตไทย ได้พบกับทักษะการพูดและการตอบปัญหาแบบนักการทูต เป็นบทเรียนและแง่คิดในการใช้ชีวิตในอนาคต
- การต่อราคาสินค้า บางทีก็เรียนรู้เทคนิคต่างๆ ในการต่อรอง รวมถึงความภูมิใจเล็กๆ ที่ได้ต่อราคาสินค้าได้
ข้อ 5. ช่วยทำให้เราเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร
- มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมากขึ้น ในการมาประเทศจีนได้เห็นสิ่งใหม่ๆ
- ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่ๆ ผนส.5 ทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็มีเรื่องราวและมุมมองต่างๆ ที่ถ้าไม่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน คงไม่ได้มีประสบการณ์แบบนี้
ขอบคุณครับ
สรุปการบรรยายเรื่อง ภาวะผู้นำในโลกที่เปลี่ยน โดย Mr. Peter Bjork ในวันที่ 17 กันยายน 2553
ช่วงแสดงความคิดเห็น
ทำไมความเปลี่ยนแปลงจึงมีความสำคัญต่อภาวะผู้นำ
ตอบ
เนื้อหา (ต่อ)
Workshop
กลุ่ม 1
กลุ่ม 2
กลุ่ม 3
กลุ่ม 4
กลุ่ม 5
Mr. Peter Bjork
คลิกที่ลิ้งค์นี้เพื่ออ่านบทความดร.จีระ
สรุปการบรรยายเรื่อง การสื่อสารและการประชาสัมพันธ์องค์กร โดย รศ.ดร.ยุบล เบญจรงค์กิจ ในวันที่ 18 กันยายน 2553
สรุปการบรรยายเรื่อง การบริหารอารมณ์ (EQ Development) โดย อาจารย์แสงอุษา โลจนานนท์ ในวันที่ 18 กันยายน 2553
คน EQ ดีจะใช้ปัญญาอยู่เหนืออารมณ์
กิจกรรม เลือกระหว่าง ความร่ำรวย ความสุข สุขภาพดี
ผลการเลือก
ความร่ำรวย 0%
สุขภาพดี 90
ความสุข 10%
บทเรียน
ผลสุดท้ายเราก็ได้ 3 อย่าง มีทั้งสามอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน
แต่ถ้าสามตัวต่างคนต่างอยู่ สุดท้ายคนก็เลือกความสุข
กิจกรรม วาดแก้วความสุข เติมน้ำลงไปตามปริมาณความสุขที่มี
บทเรียน ศักยภาพในการเติมน้ำเพิ่มขึ้นทุกปี เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แก้วก็ใหญ่มากขึ้นเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม วิธีทำให้เต็ม ก็ลดขนาดของแก้วลง (ลดเงื่อนไขในชีวิตลง)
Workshop ปัญหาและอุปสรรค ในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ที่ทำให้เราไม่มีความสุข
สรุปผลคะแนนที่ top hit
ส่วนตัว |
งานสหกรณ์ |
ไม่มีเวลาให้ครอบครัว สุขภาพ อนาคตลูก |
ผลงาน ลูกน้องไม่ได้ดังใจ ความคิดเห็นขัดแย้ง |
บางข้อก็ถือว่าวิกฤตสำหรับบางคน
บทเรียน
ถ้าเรามองว่าเป็นปัญหา ใจจะไม่สบาย ถ้าแก้ปัญหาเสร็จ ก็หายเครียด
คนที่ประสบความสำเร็จสามารถมองปัญหาให้เป็นโอกาสได้
ทดสอบความเครียด ดูรูปแล้วหาความแตกต่าง
พบว่า คนที่มองแล้วพบความแตกต่างมาก จะเครียดมาก
เนื้อหา (ต่อ)
ความเครียดเกิดจากการมองไปในอนาคตและคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ในการทำงาน กลัวว่าผลงานไม่เป็นไปตามแผน ต้องใช้เครื่องมือคือ
องค์ความรู้ในเรื่องที่จะต้องทำ
ใส่ทักษะเข้าไป
เปลี่ยนพฤติกรรม
การฝึกคนแบบนี้ได้ผลเร็วแต่อยู่ไม่นานเพราะไม่ได้ใช้ ทำให้ลืม ต้องทำให้เชื่อมโยงกับความเป็นจริงได้
วิธีบริหารสุขภาพใจ
ต้องรับความเครียดให้น้อยลง
ขจัดความเครียด
เพิ่มภูมิคุ้มกันทำให้เครียดยากขึ้น
สมองเป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ มีความคิดมากกว่าสัตว์ จำสิ่งที่เกิดมาแล้วหลายปีได้ นำอดีตบวกปัจจุบันและสร้างกลยุทธ์ในอนาคตได้
ทฤษฎี SMILE
S=Self Awareness ต้องรู้จักศักยภาพตัวเอง มีทักษะอะไรที่ทำได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าทุกทักษะที่คุณทำได้โดยเป็นธรรมชาติ ศักยภาพคือสิ่งที่คุณทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก นอกจากนี้ต้องชื่นชมศักยภาพในตัวเรา แม้บางทีเราไม่ชอบมันก็ตาม ถ้าแก้ไม่ได้ แต่ควรนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อาจจะเปลี่ยนภาวะแวดล้อมให้เอื้อและเห็นคุณค่าศักยภาพนั้น เรามีความต่างกัน มีเอกลักษณ์ในตัวเอง แต่มักไม่ได้ใช้ ต้องนำเอกลักษณ์ตัวเองมาใช้ให้ได้
ระหว่างความเชื่อกับศักยภาพ อะไรมีอานุภาพมากกว่ากัน ความเชื่อสามารถจุดประกายฝันได้และอาจดับฝันได้
แต่ละคนอาจประสบความสำเร็จได้เหมือนกันแต่กระบวนการไปสู่ความสำเร็จอาจต่างกัน
กิจกรรม คิดถึงรีโมทคอนโทรล
บทเรียน ภาวะแวดล้อมไม่ได้เอื้ออำนวยให้ใช้ได้ทุกปุ่ม ก็เหมือนศักยภาพคนเราที่ไม่ได้ใช้ครบ
M=Manage emotion บริหารอารมณ์ด้วยปัญญา
คนเรามักมีแรงต้านอยู่ข้างใน บางทีก็มีแรงดันในตัวเรา
เมื่องานเป็นหน้าที่ ก็สนุกยาก
พัฒนาทักษะทำได้ง่ายกว่าพัฒนาให้ชอบ ถ้าทำในสิ่งที่ชอบ จะทำได้นานกว่า
I=Innovate Inspiration สร้างสรรค์เป้าหมายและปลดปล่อยศักยภาพในตนเอง
เอกลักษณ์ของคุณ (Limited edition) จะทำให้งานของคุณน่าอภิรมย์มากขึ้นและเพิ่มคุณค่าของงานได้ แม้ว่างานจะเป็นงานเดิมก็ตาม
L=Listen with head and heart เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งรอบข้าง
ทุกคนเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ต้องใช้ศักยภาพที่แตกต่างของเขาให้เกิดประโยชน์
E=Enhance social skill
อยู่กับธรรมชาติรอบข้างอย่างมีความสุข
การบริหารอารมณ์เหมือนการบริหารบัญชีออมทรัพย์ ก็จะมีดอกเบี้ย
ถ้าเราอยู่ในที่ที่ไม่ได้ใช้ศักยภาพของคุณ คุณก็จะมองหาเสาร์อาทิตย์ทุกครั้ง
คลิกที่นี่อ่านเนื้อหาบรรยาย 24 ก.ย. 53
การบรรยายเรื่อง ผู้นำในระบอบประชาธิปไตย โดย อาจารย์โคทม อารียา ในวันที่ 25 กันยายน 2553
วีดีโอ แมนเดลล่า
บทเรียน ผู้นำต้องรู้จักให้อภัย
วีดีโอ ทีมรักบี้ สปริงบอก ของแอฟริกาใต้
บทเรียน มองคนผิวขาวเป็นเพื่อนร่วมชาติ ไม่ใช่ศัตรู ภาวะผู้นำต้องมีการปรองดอง
แมนเดลล่าใช้รักบี้หลอมรวมชาติ สนับสนุนทีมสปริงบอก
วีดีโอ แมนเดลล่า (ต่อ)
บทเรียน ผู้นำต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้คนผิวดำคุ้นเคยกับกติกา
เนื้อหา (ต่อ)
ช่วงแสดงความคิดเห็น
ถาม การที่บ้านเมืองมีปัญหาเป็นเพราะนักการเมืองใช่ไหม
ตอบ ไม่ใช่ นักการเมืองก็มาจากประชาชน
เนื้อหา (ต่อ)
กำหนดการ
งานฉลองจบโครงการ ผนส.5
18.00 น. เริ่มงาน / ฉายวิดีทัศน์กิจกรรมผนส.5 / รับประทานอาหารว่าง+เครื่องดื่ม
19.00 น. พิธีกรเชิญประธานฯ กล่าวเปิดงาน
ผนส.5 มอบของที่ระลึกแด่อาจารย์และทีมงานสสท.
รับประทานอาหาร (โต๊ะจีน)/นักร้องขับกล่อมเพลงไพเราะ
20.00 น. การแสดงละครเวที (ผนส.2)
20.30 น. ประธานฯเปิดฟลอร์ / เชิญผู้ร่วมงานร่วมรำวง
การแสดง รำวงย้อนยุค (ผนส.5)
21.30 น. การขับร้องหมู่ เพลง......... (ผนส.1-4)
22.00 น. ปิดงาน
เพื่อนๆช่วยดูด้วย ใครคิดเห็นอะไรต่างจากนี้ช่วยเสนอแนะด้วยค่ะ
ศิริวรรณ 081 9263632
การบรรยายเรื่อง ผู้นำกับการพัฒนาระบบความคิด โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ในวันที่ 25 กันยายน 2553
สรุปการนำเสนอโครงการ วันที่ 5 ตุลาคม 2553
1. อนุวรรตน์ อิ่มสมบูรณ์
โครงการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพผลไม้ผ่านกลุ่มเกษตรกรรายย่อย
เป้าหมาย
ผลที่จะได้
กิจกรรม
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
ดร.สุวิชัย
คุณอำไพ
2. คำนึง โสตถิอุดม
โครงการนำขบวนการสหกรณ์สู่ชุมชน
ดร.สุวิชัย
คุณอำไพ
ดร.ยม
3. พ.ต.อ.บุญชัย ฤาชัยสา
โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ฯ
ปัญหา
เป้าหมาย
การประเมิน
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
คุณอำไพ
ดร.ยม
4. วีรศักดิ์ สงเคราะห์
โครงการสินค้าเพื่อการพัฒนาผลผลิต
คำถาม
1.ใช้เทคนิคอะไรให้ทำ 0% ได้
ตอบ เลือกคุย 4-5 บริษัทที่คุ้นเคยเพื่อลดก่อน ถ้าลด บริษัทอื่นๆก็ลดตาม
2. มั่นใจได้ว่าอย่างไรว่า สมาชิกจะมารับออร์เดอร์ได้หมด
ตอบ ให้สั่งได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท ถ้าไม่หมด สหกรณ์ต้องตั้งเป็นสินค้าค้างระหว่างปิดบัญชี
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
5. ศิริวรรณ ปัญญาธรรม
โครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เจ้าหน้าที่สหกรณ์
การดำเนินการ
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
คุณอำไพ
ดร.ยม
6. พ.อ.ยุทธเดช พุฒตาล
โครงการสัมมนาวิชาการ การบริหารงานสหกรณ์ตามหลักธรรมาภิบาล
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
7. สมชาย
โครงการโรงเรียนต้นแบบร้านสหกรณ์
กิจกรรม
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
8. ชโลทร สุวรรณลาภเจริญ
โครงการแก้ปัญหาหนี้สมาชิกสหกรณ์
การดำเนินการ
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
9. เกษม
การระดมเงินทุนเพื่อลดการพึ่งพาเงินทุนภายนอก
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
10. ภราดร สื่อมโนธรรม
โครงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการหลังเกษียณ
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
ดร.สุวิชัย
คุณอำไพ
11. ภาวัต ศุภสุวรรณ
โครงการทัศนศึกษาและร่วมงานวันเครดิตยูเนี่ยนสากลประจำปี 2553
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
12. ศรชัย วิจิตรพร
โครงการสร้างความมั่นคงสมาชิกสหกรณ์ ว่าด้วยเรื่องที่อยู่อาศัย
ข้อเสนอแนะ
คุณอำไพ
ดร.ยม
13. อารี ภู่สกุล
โครงการสวัสดิการเพื่อสมาชิก (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)
พัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิกในด้านสังคมโดยเฉพาะสวัสดิการเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย
ข้อเสนอแนะ
คุณอำไพ
ดร.ยม
14. สมคิด ศรีพยัคฆ์
โครงการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรในสหกรณ์
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
คุณอำไพ
ดร.ยม
15. สันติ
โครงการวางแผนกลยุทธ์
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
ดร.สุวิชัย
16. วิเชียร พวงศรี
โครงการเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ด้านบริการ
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
เมื่อเช้านี้ ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้โทรมาแจ้งว่า ท่านที่ปรึกษากฤษฎาติดภารกิจไปราชการด่วนที่ภาคใต้ จึงไม่สามารถมาร่วมเป็นผู้วิพากษ์ได้ในวันที่ 8 ต.ค. 53
จึงเหลือแค่ผู้วิพากษ์ 2 คนคือ ท่านเอ็นนูและอาจารย์ประเสริฐค่ะ
สรุปการนำเสนอโครงการ วันที่ 6 ตุลาคม 2553
1. วัฒนศักดิ์ จังจรูญ
โครงการระดมทุน
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
2. ศิริชัย ออสุวรรณ
โครงการเชื่อมโยงธุรกิจสหกรณ์แบบครบวงจร
คำถาม
1. มีนโยบายทำธุรกิจอย่างไร
ตอบ ไม่มุ่งเน้นกำไร ไม่ทำธุรกิจแข่งสมาชิก แต่รวบรวมผลผลิตไปจำหน่ายในราคายุติธรรม ทำแผนธุรกิจทุกปี ค่าเฉลี่ยกำไรสุทธิไม่เกิน 2%
2. ควบคุมปุ๋ยปลอมอย่างไร
ตอบ เรื่องนี้มีผลกระทบตรงสกต. มาตรการกฎหมายเข้มข้น เราต้องปรับวิธีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมาย เราพยายามหามาตรการประกันให้สมาชิกเรา เราเป็นหน่วยงานที่ปกป้องประโยชน์ จึงต้องมีปุ๋ยของเราเองในกรณีบริษัทใหญ่ฮั้วราคา เราก็เป็นกลไกไปแทรกแซงราคาได้
3. มีแนวคิดอย่างไรให้สกต.ทุกแห่งเป็นสมาชิกชุมนุมให้ได้
ตอบ ในกฎหมายสมาชิกชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยต้องเป็นชุมนุมสหกรณ์จังหวัด เนื่องจากสหกรณ์การเกษตรมีรายได้ยากจน โอกาสมาเป็นสมาชิกยาก เราก็จะเข้าไปดูแลฟื้นฟูขึ้นใหม่
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
ดร.ปรีชา
3. รุ่งโรจน์ วรชมพู
โครงการพัฒนาสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
ดร.ปรีชา
4. อัมพร เลิศกิจเจริญไพศาล
โครงการพัฒนาข้อมูลในการบริหารงานสหกรณ์
กิจกรรม
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
ดร.ปรีชา
5. อานุภาพ กระจ่างแจ้ง
โครงการพัฒนาสินเชื่อธุรกิจสหกรณ์
ข้อเสนอแนะ
ดร.ปรีชา
อยากให้แยกโครงการนี้เป็น 4 โครงการ
1.การสำรวจความต้องการด้านสินเชื่อ
2.โครงการพัฒนาสินเชื่อ คิดเป็นระบบ
3. หาแหล่งสินเชื่อต้นทุนต่ำ
4. แก้ปัญหาหนี้ค้าง
จะได้ทำได้ชัดเจนกว่านี้
6. รท.สุวรรณ แป้นเพชร
โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์
ข้อเสนอแนะ
ดร.ยม
การนำเสนอโครงการ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553
1. ถาวร
โครงการส่งเสริมพัฒนากลุ่มอาชีพ
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
2. มานะ สุดสงวน
โครงการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสู่สถานศึกษา
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
3. ศิริพงษ์ มีประเสริฐ
โครงการพัฒนาธุรกิจสหกรณ์สู่ความยั่งยืน
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
4. สุมาลัย รักเขตรการ
โครงการปั๊มชุมชน
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
ดร.ปรีชา
5. ภาวิณี
โครงการเสริมสร้างความพึงพอใจเพื่อแก้ปัญหาการลดจำนวนลงของสมาชิกสหกรณ์
การดำเนินการ
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
ดร.ปรีชา
การนำเสนอโครงการ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 (ต่อ)
6. สุรพล ชัยมาลา
โครงการ
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ปรีชา
7. ณฐกร แก้วดี
โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายสหกรณ์จังหวัดชลบุรี
ข้อเสนอแนะ
ดร.สุวิชัย
ดร.ยม
ดร.ปรีชา
สรุป
โครงการสัมมนาวิชาการเรื่อง “ขบวนการสหกรณ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างไร”
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2553
ณ ห้องประชุมศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย
คุณศิริชัย ออสุวรรณ
คุณภาวัต ศุภสุวรรณ
คุณ สุรพล ชัยมาลา
ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
รศ.ดร. ประเสริฐ จรรยาสุภาพ
ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
คุณ เอ็นนู ซื่อสุวรรณ
ความเห็น
อาจารย์เต็มใจ
ดร. ชาญชัย เพชรประพันธ์กุล ภาควิชาการสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เชิดศักดิ์
รองประธานเครือข่ายสหกรณ์ฯ (ชายเสื้อฟ้า)
ประสิทธิ์ บุญสม (ผนส. 4)
รอบสรุป
คุณศิริชัย ออสุวรรณ
คุณ ภาวัต ศุภสุวรรณ
คุณ สุรพล ชัยมาลา
รศ.ดร. ประเสริฐ จรรยาสุภาพ
คุณ เอ็นนู ซื่อสุวรรณ
ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
สวัสดีผู้นำรุ่น 5 ทุกคน
เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้วที่จบหลักสูตรนี้ไป ผมยังจำบรรยากาศการทำงานของรุ่นนี้ได้ดี จะฝากไว้ 2 เรื่อง
ปัจจุบัน blog รุ่น 5 รวมกัน 3 blog ได้ 6,000 คลิก ต่ำกว่ามาตรฐานของรุ่น 1-4 มาก
ทางสันนิบาตสหกรณ์ได้ริเริ่มที่จะมีหลักสูตรรุ่นที่ 6 จะขอให้รุ่นที่ 5 เป็นพี่เลี้ยง
วันอาทิตย์ที่ 26 ธ.ค.53 สันนิบาตสหกรณ์ฯ กำหนดประชุมใหญ่สามัญ ที่ศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส กทม.
หลังจากประชุมแล้ว ขอเชิญเพื่อน ผนส.ทุกท่าน ทุกรุ่น ร่วมหารือโครงการคืนสู่เหย้าผู้นำสหกรณ์ขั้นสูง
(สันนิบาตฯตั้งงบประมาณไว้แล้วจะจัดในเดือนมีนาคม 2554 ครับ)
Sirichai Orsuwan
Friday at 10:07pm ·
เจริญศรี โสระมัด ขอบคุณค่ะท่านประธานศิริชัย พวกเราจะได้พบกัน
Friday at 11:24pm ·
เรียนอาจารย์ยม ทางสันนิบาตฯจะมีหนังสือเชิญประชุมใหญ่ (ในตำแหน่งที่ปรึกษาสันนิบาตฯ) ในวันที่ 26 ธ.ค.53
กรุณาวางแผนงานคืนสู่เหย้า ผนส. ด้วยครับ
หลังประชุมหากมีเวลาจะได้ปรึกษากัน
Yesterday at 11:34am ·
สวัสดีวันปีใหม่จีน
万事如意 ว่านซื่อหยูอี้ ....สมความปรารถนา
恭喜发财 กงสี่ฟาไฉ..ขอให้ร่ำรวย
财源广进 ไฉเหยียนกว่างจิ้น...เงินทองไหลมา
招财进宝 เจาไฉ่จิ้นเป่า..เงินทองไหลมา
年年有余 เหนียนเหนียนโหย่วหยวี๋..เหลือกินเหลือใช้
事事顺利 ซื่อซื่อซุ่นลี่..ทุกเรื่องราบรื่น
金玉满堂 จินยวี้หม่านถัง..ร่ำรวยเงินทอง
一本万利 อิ้เปิ่นว่านลี่...กำไรมากมาย
大吉大利 ต้าจี๋ต้าลี่...ค้าขายได้กำไร
年年发财 เหนียนเหนียนฟาไฉ...รำรายตลอดไป
龙马精神 หลงหม่าจินเสิน..สุขภาพแข็งแรง
吉祥如意 จี๋เสียงหยูอี้..สมปรารถนา
好运年年 เห่ายวิ่นเหนียนเหนียน..โชคดีตลอดไป
四季平安 ซื่จี้ผิงอัน..ปลอดภัยตลอดปี
一帆风顺 อี้ฝันฟงซุ่น..ทุกอย่างราบรื่น
.*. คำอวยพรตรุษจีน .*.
คำอวยพร : ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวกใช้
คำแปล : ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย
คำอวยพร : ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ
คำแปล : ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย
คำอวยพร : เจาไฉจิ้นเป้า
คำแปล : เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติเข้าบ้าน
คำอวยพร : ฟู๋ลู่ซวงฉวน
คำแปล : ศิริมงคลเงินทองอำนาจวาสนา
คำอวยพร : จู้หนี่เจี้ยนคัง
คำแปล : ขอให้คุณสุขภาพแข็งแรง
คำอวยพร : จู้หนี่ฉางโส่ว
คำแปล : ขอให้คุณอายุยืนยาว
คำอวยพร : จู้หนี่ซุ่นลี่
คำแปล : ขอให้คุณประสบความสำเร็จ
คำอวยพร : จู้เห้อซินเหนียน
คำแปล : การอวยพรปีใหม่
เรื่องเล่าของเอี๋ยนหุย
เอี๋ยนหุยเป็นศิษย์รักของขงจื้อ เป็นคนใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า ได้ยินลูกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! คนที่จะตัดสินได้ก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านขงจื๊อผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ? เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน! เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าสาง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึงเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน) ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง?
เช่นกัน.......บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป...
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเจ้านาย ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ประเมินผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด...........................
บทวิเคราะห์วิจารณ์ที่ตีพิมพ์ในมติชน เมื่อวันที่ ๒๗ พ.ย. ๒๕๕๓ (น่าสนใจ)
ในแวดวงวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มีคำศัพท์ใหม่เกิดขึ้น
บ่อยครั้งตามพลังพลวัตทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยหยุดนิ่งทั่วโลก ในยามที่ประเทศครึ่งหนึ่งของโลกเกิดปัญหาเศรษฐกิจระดับวิกฤต ศัพท์คำหนึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามศึกษาทำความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์คึกคัก ทะเยอทะยาน แต่เปี่ยมด้วยความหวั่นกลัว หวาดผวาว่าสภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับสังคมของตนเอง
"แจแปนิฟิเคชั่น-Japanification" เป็นอย่างญี่ปุ่น? ฟังดูเรียบง่าย ไม่มีพิษภัย ทำไมต้องหลีกหนี ทำไมต้องไม่เป็นอย่างที่ญี่ปุ่นกำลังเป็นอยู่ในเวลานี้?
ญี่ปุ่น คือตัวอย่างของประเทศหนึ่งซึ่งเกิดการพลิกผันของชะตากรรมเชิงเศรษฐกิจอย่าง รุนแรงและยาวนานชนิดที่น้อยประเทศนักจะพบพานในประวัติศาสตร์โลกร่วมสมัย ครั้งหนึ่ง ญี่ปุ่น คือตัวอย่างของ "ความสำเร็จแห่งเอเชีย" ผู้คนจากดินแดนแห่งอาทิตย์ยามอุทัยแห่งนี้มีวิถีและรูปแบบของการใช้ชีวิต เป็นที่อิจฉา ริษยาของผู้คนทั่วโลก
ทศวรรษ 1980 คือทศวรรษที่ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติแรกจากเอเชียที่มีศักยภาพเกินพอต่อการท้าทายการครอบงำทั้งโลกที่อยู่ในกำมือของชาติตะวันตกมายาวนาน
แม้กระทั่ง ในปี 1991 นักเศรษฐศาสตร์หลายคนยังพากันคาดการณ์ว่า ภายในทศวรรษแรกของศตวรรษใหม่ นั่นคือในปี 2010 ญี่ปุ่นจะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา นักธุรกิจญี่ปุ่นยืดอก
อย่างทะนงรับรู้นิยามที่ผู้คนในแวดวงเดียวกันจากทั่วโลกพาดพิงถึงว่า ยะโส โอหัง
คำว่า "สัตว์เศรษฐกิจ" ไม่เพียงปรากฏอย่างดกดื่นแฝงนัยประชดประเทียดเท่านั้น ยังซุกงำความยกย่อง ชมเชย และประหลาดใจไว้ในตัวอีกด้วย
ในความเป็นจริง ญี่ปุ่นในปีนี้ ไม่เพียงมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงอย่างยิ่งกับเมื่อ 10 หรือ 20 ปีก่อนเท่านั้น สัตว์เศรษฐกิจตัวนี้ยังสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไปโดยสมบูรณ์แบบอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นในปี 2010 มีมูลค่า ณ อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันอยู่ที่ 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่จีดีพีของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงเวลาเดียวกันเป็น 14.7 ล้านล้านดอลลาร์
เดือนสิงหาคมปีนี้ ญี่ปุ่นไม่เพียงหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยังถูกจีนแซงหน้าขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 แทน
สังคมญี่ปุ่นเต็มไปด้วยปัญหาการเมือง ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาตกอยู่ในสภาวะ "อัมพาต" ในห้วงเวลาดังกล่าวนี้ ญี่ปุ่นมีนายกรัฐมนตรีรวมทั้งสิ้น 14 คน ไม่มีผู้ใดสามารถแม้เพียงแค่ "จุดประกาย" ให้ความหวังและแรงบันดาลใจกับสังคมญี่ปุ่นได้
บริษัทธุรกิจในญี่ปุ่นเรื่อยไปจนถึงปัจเจกบุคคล สูญเสียคิดเป็นมูลค่านับล้าน
ล้านดอลลาร์ในตลาดหุ้น ที่ตอนนี้มีมูลค่ารวมเหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 ของที่เคยมีเมื่อปี 1989
ราคาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเคยเบ่งบานสุดขีด ชนิดที่มีการตีมูลค่าพระราชวังอิมพีเรียลไว้สูงถึงขนาดซื้อรัฐแคลิฟอร์เนียได้ทั้งรัฐ หลงเหลือเพียง 25 เปอร์เซ็นต์ของระดับราคาที่เคยทะยานขึ้นไปสูงสุดเมื่อปี 1974 และในความเป็นจริง ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่เคยขยับขึ้นอีกเลย นับตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นมา
|
รัฐบาลญี่ปุ่นทำได้เพียงแค่การกระตุ้น กระตุ้นและกระตุ้นเศรษฐกิจ หว่านและอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบครั้งแล้วครั้งเล่า อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแทบเป็น 0 เปอร์เซ็นต์มานานปีดีดัก ผลลัพธ์ที่ได้คือ ญี่ปุ่น กลายเป็นประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูงที่สุดในโลก
สูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี!
สังคมเล่า? ประชากรญี่ปุ่นหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก ระดับ "คนยากจน" เพิ่มขึ้นตามอัตราว่างงาน เช่นเดียวกับอัตราการฆ่าตัวตาย
โดยเฉลี่ยแล้วมีผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมในญี่ปุ่นมากกว่า 30,000 คนต่อปี มากถึงขนาดตามเส้นทางรถไฟในกรุงโตเกียว จำเป็นต้องติดไฟสีน้ำเงินนวลตาเอาไว้เรียงรายตลอดแนวราง
โดยหวังว่ามันจะช่วยปลอบประโลม หรือเปลี่ยนการตัดสินใจใครก็ตามที่มาที่นี่เพื่อปลิดชีวิตตัวเอง
*****
สังคมญี่ปุ่นชราลงอย่างรวดเร็ว เป็นสังคมที่ "ชราภาพ" มากที่สุดในโลก ในข้อเท็จจริงเรื่องนี้มีอีกข้อเท็จจริงซุกงำอยู่อย่างชวนตกตะลึง
"โซเง็น คาโตะ" มีชื่ออยู่ในบันทึกของเทศบาลนครโตเกียวว่าเป็นชายที่มีอายุยืนที่สุดในเขตเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ นับถึงตอนนี้ เขา "ควร" อายุ 111 ปี เจ้าหน้าที่พบเขาอยู่ในสภาพแห้งกรัง มวลเนื้อของร่างกายสูญสลายเหลืเพียงหนังหดแนบแนวกระดูก อยู่บนเตียงนอน มองปราดแรกชวนให้เข้าใจว่าเป็นมัมมี่
บุตรีวัย 81 บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า โซเง็น ทะเลาะกับหลานๆ แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องนอน ไม่ยอมออกมาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากว่า เหตุการณ์ตามคำบอกเล่าไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน! ลูกๆ หลานๆ ทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานานนักหนานั้น?
คำตอบคือ ครอบครัวคาโตะเก็บงำเรื่องทั้งหมดไว้ เพียงเพื่อให้ได้รับบำนาญและเงินช่วยเหลือพิเศษสำหรับผู้สูงอายุเกิน 100 ปีของทางการได้ต่อไป
นั่นยังไม่ชวนให้ช็อคเท่ากับอีกกรณีของสุภาพสตรีชาวญี่ปุ่นอีกราย เธอ "ควร" มีอายุ 104 ปี ในปีนี้ ถ้าหากเจ้าหน้าที่ไม่ตรวจสอบพบเพียงแค่ "กะโหลก" ของเธอ เก็บไว้เป็นอย่างดีในเป้สะพายหลัง ที่บุตรชายอายุ 64 ปี เป็นเจ้าของ
คำให้การของผู้ลูกสูงวัยก็คือ เมื่อมารดาเสียชีวิต เขาชำระศพอย่างดี จากนั้นชำแหละอย่างระมัดระวังเป็นชิ้นๆ สตัฟฟ์เก็บไว้ในเป้ใบนี้ เหตุผลง่ายๆ สั้นๆ ที่เขาให้กับเจ้าหน้าที่ก็คือ
"ผมไม่มีเงินค่าจัดการศพ"!
เหตุการณ์น่าแตกตื่นทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องสั่งตรวจสอบ ส่งเจ้าหน้าที่ไป "พบหน้า" ผู้สูงอายุที่อายุยืนกว่า 100 ปีทุกคนทั่วประเทศ ยิ่งค้น ยิ่งพบ ยิ่งหายิ่งชวนแตกตื่นตกใจ
รวมทั้งหมดทั่วประเทศ รัฐบาลญี่ปุ่นพบว่า มีผู้ที่สูงวัยเกิน 100 ปี มากกว่า 234,000 คนที่อยู่ในทะเบียนผู้สูงวัยพิเศษที่ควรได้รับเงินสนับสนุนพิเศษจากรัฐ ไม่มีตัวตนอยู่จริง
หากไม่พบเป็นศพ ก็พบว่าหายตัวไปและควรถูกระบุว่า เสียชีวิตแล้ว เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
*****
ความเป็นจริงของเหตุการณ์น่าตระหนก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นกับสังคมญี่ปุ่น?
เหตุผลประการแรกที่ทำให้คนตายกลายเป็น "แหล่งรายได้" ของคนเป็น ก็คือ "ไม่รู้" พวกเขาอยู่ห่างกันไกลเกินไปเพราะความ
จำเป็นในการทำมาหาเลี้ยงชีพ จนจำเป็นต้องทิ้งผู้เฒ่าผู้แก่ไว้เพียงลำพังในอีกเมืองหนึ่ง อีกอำเภอหนึ่ง
เหตุผลประการถัดมาก็คือ "หายไป" มีบ้างที่ไร้ร่องรอยให้เสาะหา มีบ้างที่ลูกๆ หลานๆ ไม่ต้องการเสาะหา
แต่เหตุผลประการสำคัญที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่รายงานการหายตัวไป หรือการเสียชีวิตของผู้เฒ่าในครอบครัวก็คือ "เงิน"
เงินเพียงไม่กี่พันบาท ที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อคนเป็นมากกว่าจะคำนึงถึงประเพณีและวัฒนธรรมความเหนียวแน่นในครอบครัวและการเคารพผู้อาวุโสอีกต่อไปแล้ว
"ความยากจน" ที่ว่านี้เป็นเพียง "อาการ" หนึ่งที่สะท้อนถึง 2 ทศวรรษแห่งความว่างเปล่าทางเศรษฐกิจและสังคมของญี่ปุ่น อากิระ เนโมโตะ เจ้าหน้าที่ประจำแผนกดูแลผู้สูงวัยของเขตอาดาชิ ในกรุงโตเกียว สะท้อนอีกอาการหนึ่งออกมา
"ไม่มีใครสนใจเพื่อนบ้านกันอีกต่อไป" เขาบอก ไม่แม้แต่บ้านที่รั้วติดกัน
หรืออพาร์ตเมนต์ที่ช่องประตูห่างกันเพียงไม่กี่เมตร
ยิ่งนับวัน คนญี่ปุ่นยิ่งหดตัวเองแคบลง แคบลงเรื่อยๆ เหลือเพียงรัศมีโดยรอบตัวเองไม่กี่ตารางเมตร เริ่มจากผู้สูงอายุ แล้วลุกลามต่อไปยังลูกๆ หลานๆ ทั้งหมดพยายามอยู่ได้ด้วยตัวเอง ใช้จ่ายให้น้อยที่สุด เพื่อดำรงตนให้อยู่ได้นานที่สุด
ทำอย่างไร เงินบำเหน็จบำนาญของตัวเอง หรือของผู้เป็นพ่อ-แม่ ที่ได้รับในแต่ละเดือนจึงจะสามารถยังชีพต่อไปได้
"ทุกคนคิดถึงแต่เงิน เงินที่ไม่มากมายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว" เนโมโตะ บอกอย่างนั้น
มันเริ่มต้นอย่างช้าๆ แต่มั่นคงและแน่วแน่อย่างยิ่ง เริ่มจากซัพพลายเออร์ในอาดาชิ หดหายไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ล้มละลายก็โยกย้ายไปยังจีนพร้อมๆ กับบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ถัดมาร้านรวงในย่านนั้นก็เริ่มปิดตัวลง สุดท้ายแหล่งพบปะของชุมชนคน
ย่านเดียวกันที่มีอยู่แห่งเดียวก็ร้างราตามไปด้วย
หลังจากนั้น อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นอุตสาหกรรมแล้วอุตสาหกรรมเล่า ยกธงขาวยอมแพ้ให้กับคู่แข่งกระหายชัยชนะและส่วนแบ่งการตลาดจากเกาหลีและจีน
ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต คือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของผู้คนในญี่ปุ่น
ความเชื่อมั่นทะยานอยาก หดหายไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป
*****
เมื่อมาตรฐานการครองชีพลดน้อยถอยลง ประเทศชาติที่เคยมั่งคั่งและยังมั่งคั่งอยู่ในบางแง่มุมในเวลานี้ ก็เริ่มเสื่อมทรุด ค่านิยมใหม่เริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว "ความมัธยัสถ์" กลายเป็นเรื่องที่ต้องทำ "ความเสี่ยง" อย่างองอาจและกล้าหาญ คือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
คนรุ่นใหม่ เจเนอเรชั่นใหม่ในวัยยี่สิบคิดเห็นเช่นนี้ เพราะในชีวิตของพวกเขาไม่เคยพานพบอหังการของญี่ปุ่น ไม่เคยลิ้มลองความรุ่งโรจน์ของอาทิตย์ยามอุทัย พวกเขารับรู้และมีประสบการณ์อยู่แต่กับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ และภาวะเงินฝืด หาได้ยากเย็นอย่างยิ่ง
ไม่แปลกที่พวกเขาปฏิเสธที่จะซื้อรถยนต์หรือโทรทัศน์ ไม่แปลกที่มีน้อยมากที่
ตัดสินใจไปศึกษาต่อในต่างแดนชนิดไปตายดาบหน้า
ชาติที่เคยเปี่ยมด้วยพลวัต ท้าทายทุกอุปสรรค กลายเป็นสังคมที่คับแคบ วัฒนธรรมที่คับแคบอย่างน่าสะพรึงกลัว
ภาวะเงินเฟ้อมีอันตรายอยู่ในตัวเอง แต่ภาวะเงินฝืดก็เปี่ยมอันตรายอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน เพราะมันทำให้ปัจเจกและบริษัทธุรกิจไม่อยากจับจ่าย เพราะราคาของทุกอย่างถูกลงจนสิ่งที่เพิ่มค่าขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงอย่างเดียวคือ "เงินสด" การถือเงินสดๆ ไว้ในมือคือการลดความเสี่ยงทุกอย่างลงจนหมด
ถ้าภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม ผลสะเทือนจะไม่ลึกซึ้งอย่างในญี่ปุ่น ที่ซึ่งภาวะเงินฝืดจำหลักจนกลายเป็นจิตใต้สำนึก โลกที่ชาวญี่ปุ่นเห็นเป็นโลกในแง่ร้ายที่หดหู่ น่าหวาดหวั่น ไร้ความหวังจนกลัวที่จะเสี่ยง เกาะกินสัญชาตญาณดั้งเดิมให้ลังเลที่จะควักกระเป๋า หรือ ลงทุน
แต่ยิ่งกลัว ยิ่งผลักดันให้อุปสงค์ในประเทศลดลงมากยิ่งขึ้น และราคาของทุกอย่าง
ยิ่งหดหายไปมากยิ่งขึ้นไปอีก
ฮิซากาซุ มัตสึดะ ประธานสถาบันวิจัยการตลาดบริโภคแห่งญี่ปุ่น (เจซีเอ็มอาร์ไอ) เรียกเจเนอเรชั่นใหม่ในวัย 20 เศษเหล่านี้ว่า "คนยุครังเกียจบริโภค" เขาประเมินเอาไว้ว่า เมื่อคนยุคนี้อายุถึง 60 ปี นิสัยมัธยัสถ์ร่วมสมัยของพวกเขาจะส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องสูญเสียมูลค่าการบริโภคไปราว 420,000 ล้านดอลลาร์
"ในโลกนี้ไม่มีเจเนอเรชั่นที่ไหนเหมือนที่นี่อีกแล้ว" มัตสึดะบอก
คนพวกนี้คิดว่าการควักกระเป๋าจ่ายคือความโง่เขลาเบาปัญญาไปแล้ว
*****
ในทรรศนะของนักเศรษฐศาสตร์ ญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า "ทุนนิยม" กลืนกินตัวเองได้อย่างไร และผู้นำทางการเมืองของญี่ปุ่นล้มเหลวคนแล้วคนเล่าได้อย่างไร
"แจแปนิฟิเคชั่น" คือการตกลึกลงไปใน "กับดักภาวะเงินฝืด" ที่เกิดขึ้นเมื่อ อุปสงค์ล่มสลายจากการที่ผู้บริโภคปฏิเสธที่จะใช้จ่าย ส่งผลต่อไปยังบริษัทธุรกิจที่ขยาดกับการลงทุน และบรรดาธนาคารทั้งหลายนั่งอยู่บนกองเงินออมก้อนมหึมา
มันกลายเป็นวัฏจักรของความเลวร้าย ที่อยู่ได้ด้วยตัวเองและกลืนกินตัวเองไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่มีการจับจ่าย ยิ่งกดดันให้ราคาข้าวของลดลงมากขึ้น งานหายไปมากขึ้น เงินในกระเป๋าผู้บริโภคยิ่งลดลงและยิ่งมัธยัสถ์มากยิ่งชึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ธุรกิจยิ่งตัดทอนรายจ่ายมากยิ่งขึ้น ชะลอแผนขยายตัวออกไปอีกเรื่อยๆ และดูเหมือนยังไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้นำญี่ปุ่นผิดพลาดตั้งแต่ปฏิเสธความหนักหนาสาหัสของปัญหาที่ประเทศเผชิญในตอนแรก และยิ่งผิดซ้ำซากด้วยการใช้เวลาเนิ่นนานอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อการสร้างงาน
ผ่านโครงการใหญ่โตของรัฐ ที่ทำได้ก็เพียงแค่เลื่อนระยะเวลาของการ "ปรับโครงสร้าง" เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่เจ็บปวดกว่า ยากเย็นกว่า ออกไปเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
จนอาจบางที อาทิตย์อุทัย อาจไม่หลงเหลือให้คาดหวังอีกต่อไปในญี่ปุ่น!
อ่านเรื่องนี้แล้วช็อค!!
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเรื่องจริง
เรียนทุกท่าน
ขอเชิญเข้าร่วมหลักสูตร “พัฒนาผู้นำ ... การบริหารภายใต้วิกฤตและความเสี่ยง” มีรายละเอียดในลิ้งค์นี้