บ้านอยู่ริมน้ำ 2 : บทเรียนแรก สิ่งที่เรียนรู้และปรับตัว


"ระบบนิเวศไม่ควรถูกทำลายเพียงเพื่อแค่ความสบายตาของตัวเองเพียงเล็กน้อย อะไรที่เขาเคยอยู่ ก็ให้อยู่ต่อไปเพราะเขาอยู่มาก่อนเรา เป็นที่พึ่งของสัตว์น้ำพวกปลาเล็กๆและอื่นๆ"

สิ่งที่เรียนรู้และปรับตัวเมื่อบ้านอยู่ริมน้ำ 2: บทเรียนแรก

จากการที่เคยอาศัยบ้านกลางเมืองที่อยู่ริมถนนใหญ่ตั้งแต่เด็ก ไฝ่ฝันจะมีบ้านกลางป่า หรือไม่ก็ริมน้ำ ในที่สุดก็ได้บ้านริมน้ำ การย้ายจากบ้านกลางเมืองมาอยู่ริมน้ำ ที่ปลายคลองด้านหนึ่งต่อกับบึงขนาดใหญ่ ปลายอีกด้านไหลลงแม่น้ำไกล้ปากน้ำออกสู่ทะเล ดังนั้นเมื่อเกิดปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง จะเห็นน้ำขึ้นและลงชัดเจน

 ดังนั้นเมื่อมาใหม่ๆ สิ่งแรกที่เรียนรู้จากธรรมชาติที่เห็นคือ ปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง สังเกตเวลาน้ำขึ้นน้ำลง โดยดูจากกอผักตบที่ลอยไปลอยมา  บางกอใหญ่มาก รู้ว่าถ้าลอยไปทางขวามือน้ำกำลังลง หากผักตบลอยไปทางซ้ายมือ น้ำกำลังขึ้น  ดังนั้นเมื่อตื่นตอนเช้าก็นั่งดูที่ขอบหน้าต่าง ว่าผักตบกำลังลอยไปทางไหน ถ้าไม่มีผักตบลอยให้เห็นก็จะดูยากเล็กน้อย แต่รอสักครู่ก็จะเห็นกอผักตบ ลอยโต้ง เต่ง..โต้ง เต่ง  แต่ละวันน้ำจะขึ้นลงช้ากว่าวันก่อนประมาณ 50 นาที

                     

และหลังจากน้ำขึ้นเต็มที่แล้ว ระดับน้ำจะเริ่มลดลง ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง 12 นาที น้ำขึ้น (high tide) และน้ำลง (low tide) จึงช้ากว่าวันก่อน ไปประมาณ 50 นาที  ดังนั้นในแต่ละวันน้ำจะสูงขึ้น และลดลง 2 ครั้ง  น้ำจะสูงขึ้นกว่าปกติ เรียกว่า น้ำเกิด (spring tide) ซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง คือใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ  ระดับน้ำจะไม่สูงขึ้น แต่จะอยู่ในระดับเดิม ไม่ขึ้นไม่ลง เรียกว่า น้ำตาย (neap tide) จะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับน้ำเกิด คือใกล้วันขึ้น 8 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำ

  น้ำเริ่มขึ้นเข้ามาในส่วนใต้สะพานไม้ เพราะน้ำจะไม่ค่อยใส แต่พอขึ้นเต็มจะใสเห็นตัวปลาเล็กๆที่ว่ายไปมา

รู้แล้วมีประโยชน์อะไร บ้าง  เนื่องจากบ้านนี้ไม่ได้ถมตลิ่งยื่นออกไปเหมือนบ้านหลังอื่นๆที่ทุกหลังริมน้ำจะทำเขื่อน ในลักษณะต่างๆกัน เขาจึงไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องน้ำเข้ามา หรือน้ำจะขึ้นลงมากน้อยแค่ไหน บางบ้านขนหินใหญ่ๆมาเยอะมากหลายสิบคันรถ ถมออกไป แล้วเทปูนสร้างศาลาริมน้ำ บางบ้านทำเขื่อนแล้วทำเป็นกระไดลงไปในน้ำ สำหรับบ้าน meepole แล้ว เราชอบและรักธรรมชาติแม้ว่าจะดูแล้วรก เพราะไม่ตัดอะไรทิ้ง นอกจากตัดแต่งกิ่งที่แห้งบ้าง อะไรที่เขาเคยอยู่ ก็ให้อยู่ต่อไปเพราะเขาอยู่มาก่อนเรา เป็นที่พึ่งของสัตว์น้ำพวกปลาเล็กๆและอื่นๆ  ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตระดับน้ำที่ขึ้นลงที่ไหลเข้ามาในตลิ่ง  เอารูปมาให้ดูค่ะ อาจดูรกบ้างนะคะ

    นี่น้ำเริ่มเข้ามาแย้ววว

เมื่อสังเกตเป็นเดือนจนรู้ว่าน้ำขึ้นสูงสุด แล้วน้ำจะขึ้นและเข้ามาในตลิ่งถึงไหน สิ่งต่อมาที่ทำคือวางแนวสะพานไม้ โครงทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหมดไม่มีเทปูนให้คนงานพม่ามาช่วยทำเขา made by hand จริงๆ ต่อแพไม้ไผ่ให้  ไว้ลงไปนั่งเล่น (สุดท้ายเจ้าตูบ 4 ตัวใช้บริการมากกว่าคน) แล้ววางแนวก้อนหินใหญ่ กั้นเป็นด่านแรก กันดินไหลออก เวลาน้ำไหลแรง แล้วกั้นช่วงที่สอง  เข้ามาข้างในอีกสำหรับเวลาน้ำสูงสุด ก็หมดปัญหาน้ำขึ้นลงที่เข้ามา นี่เป็นการเรียนรู้ด่านแรก

  นี่ไงหลักฐานว่ามาจองรอคิวลงแพ รอน้ำขึ้น จะเห็นแพไผ่ที่ติดโคลนข้างล่าง พอน้ำขึ้นแพลอย เขาก็ลงไป พร้อมลูกบอลของเขา

เช้าๆจะมีสารพัดนก เพราะสารพัดเสียง จนตอนนี้จำได้แล้วว่ามีเสียงอะไรบ้าง บางช่วงมันหายไป พอเสียงกลับมาเราก็ดีใจว่าไอเจ้าตัวเสียงนกหวีดกลับมาแล้ว นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ไม่ตัดต้นไม้ริมน้ำ เพราระบบนิเวศไม่ควรถูกทำลายเพียงเพื่อแค่ความสบายตาของตัวเองเพียงเล็กน้อย แลกกับการที่นกพวกนั้นต้องไปหาที่อยู่ใหม่ ที่ตอนนี้ก็เริ่มหาป่า       ไกล้เมืองยากขึ้นทุกที แต่คิดว่าหากมองออกไปเห็นนกร้องเพลง กระดกก้นเต้นระบำ เราคงมีความสุขมากกว่า ....ตอนนี้เมื่อข้างบ้านย้ายมาอยู่เขาได้กั้นเขื่อนยื่นออกไป ให้เรือมาลากผักตบ พวกหญ้าน้ำออกไปหมดเพื่อให้สะอาดตา เสียงนกน้ำที่เคยอาศัยมีหลายครอบครัวเสียงยามเช้าที่คล้ายๆเป็ด แขวกๆ ๆๆ ก็หายไปน่าเสียดายจัง

 นี่ถ่ายเมื่อเช้านี้ไกล้ๆหกโมงเช้า จะเห็นเสี้ยวพระจันทร์สีขาวที่ไกล้ยอดไม้

   นอกจากจะรู้แล้วว่าน้ำกำลังขึ้นหรือลงแล้ว ยังทำให้กะประมาณเวลาได้ว่าแพไม้ไผ่จะลอยขึ้นมาเมื่อไหร่ เพราะเวลาน้ำลงแพจะอยู่ติดโคลนข้างล่าง ต่ำจากสะพานลงไปเกือบ 2 เมตร เวลาน้ำขึ้นเต็มที่จะมิดไม้ไผ่ที่เห็นจนหมด

ทำให้บางครั้งถ้าน้ำไหลเร็ว ผักตบจะลอยเข้ามาได้  ก็จะพาเจ้าตัวร้ายๆกวนๆในบ้านออกไปเล่นในแพ กินหญ้าน้ำที่มีอยู่หรอมแหรม ชะโงกกินจนเป็นคอห่านกันไปเลย ยังไม่เคยมีตัวไหนตกน้ำ มีแต่เจ้าชาบูตัวเล็กที่ลอดซี่กรงรั้วออกไปได้ มันเคยกระโดดลงแพเอง แต่ meepole ไม่รู้ คงเล่นเพลินน้ำลงมากจนแพลอยต่ำมันกระโดดขึ้นไม่ได้ เพราะสูงเกิน ก็ไม่รู้จนได้ยินเสียงชาบูร้องเห่า มาแต่ไกล เดินหาจึงรู้ว่าติดอยู่ในแพ ต้องก้มลงไปแล้วบอกให้มันยืนยกตัวขึ้น แล้วจึงดึงมือมันขึ้นมาได้ (ชาบูถูกฝึกให้รู้จักคำสั่ง up พอบอกว่า up up ชาบูจะยืน 2 ขาขึ้นมา)  เพราะเวลาน้ำต่ำสุดคนก็ลงไม่ได้ เพราะสะพานสูงเช่นกัน ตั้งแต่นั้นมาเลยระวังเจ้าตัวเล็ก ถ้าหายไปก็ต้องดูที่แพด้วย แต่มันก็เรียนรู้เร็ว เคยค้างบนแพ 2 ครั้งเดี๋ยวนี้มันจะรอเรา ก่อน

   น้ำกำลังขึ้นเรื่อยๆ

อานิสงค์ที่ได้จากริมน้ำตรงนี้คือ เพื่อน ญาติสนิทรวมทั้งบ้าน meepole เองใช้เป็นที่ปล่อยเต่า ปล่อยปลา ก็จะดูเวลาน้ำขึ้น ก็ลงในแพมาปล่อยกัน ลืมบอกไปว่าคลองนี้มีปลา กุ้งเยอะมาก

 

ดังนั้นบทเรียนแรกของการอยู่ริมน้ำคือ ปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง เป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติรอบตัวอีกครั้ง หลังจากที่เรียนแบบแห้งๆในหนังสือมา แต่ครั้งนี้มีเวลานั่งสังเกตเห็นชัดจึงเพลิดเพลิน

 

ตอนต่อจากนี้จะเป็นเรื่อง เพื่อนผู้มาจากน้ำที่ไม่อยากต้อนรับ และวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้

หมายเลขบันทึก: 423400เขียนเมื่อ 31 มกราคม 2011 21:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

 

บ้านน่าอยู่จังคะ

ใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้

เวลากลับบ้านหลังเลิกงาน

หรือวันหยุด คงมีความสุขมากๆ

กับการเฝ้าดูธรรมชาติรอบบ้านนะคะ

นำภาพดอกไม้กระถางที่บ้านมาฝากค่ะ

ชื่อว่า "แย้มปีนัง"

สวัสดีค่ะ คุณกุลมาตา

meepole อยู่กับธรรมชาติที่สงบจนแทบไม่ไปไหนเลยค่ะ เพื่อนสนิทเขาเรียกว่าปูเสฉวน และ กบจำศีล ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

ขอบคุณค่ะสำหรับแย้มปีนัง ว่างๆจะหาดอกไม้ในบ้านมาแลกกันนะคะ

       วู้..วู้....วู้...ชอบมาก   บ้านอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ 

  • มีน้ำขึ้นน้ำลง...
  • มีเสียงนก
  • มีท่าน้ำ
  • มีแพไม้ไผ่

    ชาบู ตื่นเต้นมีความสุขมาก  ...อิจฉานะชาบู...  

                         

              มีดอกไม้มาฝาก  ผูกโบว์รักร้อยเอาไว้...

                "สาวสันทราย" กำลังบานสะพรั่งค่ะ

                                 

สวัสดีค่ะ KRUDALA ขอบคุณค่ะที่ชอบบ้านริมคลอง แต่ถ้าครูอ่านตอนต่อไปอาจรู้สึกเหมือน meepole...บรื๋อ!

เพิ่งกลับจากกทม.ค่ะ เลยได้แวะเข้ามาในนี้

ชอบดอกไม้นี้มากเคยเข้าในป่าเห็นดอกนี่สวยบานสะพรั่งเต็มเพิ่งรู้จักชื่อ ขอบคุณนะคะ

สวัสดีค่ะคนบ้านไกล

เพิ่งกลับมาจากกทม.ค่ะ งานค้างมากมาย อ่านเรื่องต่างๆของคุณค้างอยู่ค่ะ จะหาเวลาอ่านต่อ และจะมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ค่ะ

สงสัยจะเอาไปทำผัดเผ็ดดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ ใบงามจังค่ะ

สวัสดีครับคุณ mee_pole

ตั้งใจว่าจะล้างมือจากวงการยุทธจักร G2K เอาเวลามาออกกำลังกาย ฝึกโยคะ และปฏิบัติธรรมดีกว่า เพราะการเข้ามาเขียนมาอ่านในบล็อกนี้ ความคิดมันเวียนไปเวียนมา หาที่สุดไม่ได้ ใจมันส่งออกนอกตลอดเวลา

ผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ถ่ายมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท ฝีมือน้องๆโปร ถ้ามีเครื่องมือดีๆให้ เพราะเคยเป็นสมาชิก ชุมนุมช่างภาพที่มหาวิทยาลัย ตอนเรียนปริญญาตรี

ต่อมาเป็นนักถ่ายหนังวิดีโอ ถ่ายหนังลูกๆ จนลูกๆกับภรรยาชิน พ่อจะหยิบกล้องถ่ายหนังมาถ่ายให้เสมอๆ ไม่มีใครตื่นเต้น เพราะถ่ายแล้วอีกห้าหรือสิบปี พ่อถึงจะเอามาให้ดู เคยไปถ่ายงานแต่งงานให้ฟรีๆ มาแล้วประมาณ เริ่มสิบงาน บางงานเจ้าภาพบอก คุณถ่ายดีกว่าช่างถ่ายหนังที่เขาจ้างมาอีก ดังนั้นเวลาผมเอาเรื่องมาเขียนลงบล็อก บันทึกของผมจึงคล้ายๆ กับงาน Presentation เสียมากกว่า เพราะต้องมีแสง เสียง รูปภาพ และ ข้อความที่อยากจะสื่อสาร ใช้เวลานานมากครับ กว่าจะเขียนได้แต่ละเรื่อง เรื่องแรกใช้เวลาเป็นเดือน อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลย เรื่องที่สอง อัศจรรย์จริงหนอ ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน

สองเรื่องแรกเป็นเรื่องที่เขียนให้เพื่อนที่จากกันมานานมาก  เป็นเรื่องที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง  ว่าทำไมหายไปเสียตั้งนาน ไปทำอะไรอยู่

พอดีมาเจอ G2K เข้า  ก็เลยนำเรื่องมาลง  พวกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จะได้ติดตามอ่าน โดยเราไม่ต้องอีแมลไปให้ที่ละคน

ดูเหมือนวัตถุประสงค์ที่ต้องการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว

พอไปเจอบันทึกของคุนใบไม้ร้องเพลง 

เรื่อง 

ไม่อยากเล่น Facebook แต่ก็ต้องเล่น  

เธอเขียนว่า

แทนที่จะเอาเวลาไปคิดงาน ปรับปรุงแก้ไขตนเอง จิตมันจะวน ๆ คิดแต่เรื่องปลูกผัก เก็บผักใน FB สุดท้ายพอเลิกแล้ว ก็เห็น mail ที่เข้ามาเป็นเรื่องรำคาญ จึงตั้งให้มันลบแบบอัตโนมัติ แต่แล้ววันหนึ่ง ด้วยหน้าที่ในการทำงาน ต้องใช้สื่อ ต้องส่งงาน ผ่าน FB รู้สึกในตนเองเลยว่า “เพิ่มงาน” ความรู้สึกรำคาญปรากฏขึ้นทุกครั้งที่ต้อง post งาน หรือ สื่อสารอะไร ๆ ผ่าน FB

แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ถึงกันเร็ว เพราะช่วงนี้คนเห่อเยอะ”

                มันเป็นกรรมหนอ ยิ่งไม่อยากเล่นยิ่งต้องเล่น  แต่เมื่อสำรวจเข้ามาในตนเอง แม้ว่าจะขัดใจ แต่ก็ต้องทำ เหมือนที่ครูเคยเอ่ยว่า “ฝืนใจกู ขัดใจกู แต่เป็นประโยชน์ก็ต้องทำ”

มาเห็นชัด ๆ ก็ตอนนี้แหละ

เทคโนโลยี มีประโยชน์ก็จริง แต่หลงง่ายกลืนเวลาไปง่าย

คิดเหมือนกันกับผมเลยครับ

“เสียเวลา เสียโอกาส”

สวัสดีค่ะ คุณคนบ้านไกล

เมื่ออ่านแล้วรู้สึกจิตจะไม่ผ่องใสขึ้นมาทันที มีงานค้างคะแนนเด็กอีก 1 วิชา แต่จัด priority แล้วต้องตอบก่อนค่ะ

ได้อ่านบันทึกของคุนใบไม้ร้องเพลง เช่นกันค่ะ ก่อนที่จะเข้ามาที่บล็อกของตัวเอง อ่านจบไม่ได้เขียนตอบ แต่ตอบตัวเองเรียบร้อยว่า ทุกอย่างขึ้นกับใจที่จะเป็นตัวกำหนด ของ meepole มีกิเลสมาวางให้เห็นบ่อยๆชวนเข้า facebook  hi5 ไม่เอาทั้งนั้น twitter ก็ไม่เป็น chat โบราณ เคยตอบเพื่อน 3 ครั้งที่เข้ามาพอดีตอน mail นอกนั้นปฏิเสธหมดค่ะ แม้กระทั่งเจ้า blog นี่ แต่เพราะสามีไปปฏิบัติธรรม 1 เดือน เขาเลยห่วงเราว่าจะเป็นปูเสฉวน ก็เลยลงทะเบียนให้มาเขียน blog เพราะมองว่าเป็นด้านวิชาการมากที่สุดแล้ว ทั้งๆที่ไม่ไช่สิ่งที่ตั้งใจมาก่อน ถ้าคุณบ้านไกลย้อนไปอ่านครบ 1 เดือนของการเขียนของ meepole ก็จะเข้าใจค่ะ แต่เมื่อเข้ามาเขียนแล้วด้วยความคิดขณะเขียนได้ตั้งใจไว้  ว่า

เขียนเพื่อถ่ายทอดแลกเปลี่ยน สุขใจที่ได้ให้ความรู้ ประสบการณ์ การเก็บเกี่ยวของคนที่เข้ามาเป็นกำไรบุญของเรา หากเขาได้รับสิ่งที่เราตั้งใจให้ แม้กระทั่งการสละเวลาให้กับสังคมในนี้ (เพราะปกติจะมีงานเขียนที่จะส่งค้างมากมาย)  และ

เขียนเพื่อฝึกฝนตนเอง ในทุกด้าน

ปกติแล้ว meepole  จะ frame ตัวเองมากและมีโลกส่วนตัวที่ขอเลือกทุกอย่าง จึงเลือกที่จะไม่ออกหรือเปิดตัวกับสังคมและผู้คนที่วุ่นวาย หากจำเป็นโดยหน้าที่การงานก็จะออกแล้วอยู่นิ่งๆ มองเท่าที่เห็น แต่เมื่อเข้ามาใน GTK นี้ก็ได้พบปะผู้คนหลากหลาย ได้เรียนรู้ผ่านการเขียน แต่ยังสามารถมองเห็นความจริงบางอย่างจากข้อเขียนได้เช่นกัน บางคนเคยรู้จักอ่านข้อเขียนแล้วดูคนที่ติดตามอ่าน ก็เรียนรู้เช่นกันว่าบางคนเขียนเรื่องเก่ง บางคนเก็บแต่กาก หลายคนมองที่เปลือก หรือไม่ต้องมองอะไรเลยเพราะไม่ได้เข้ามาเพื่อเรียนรู้

แต่ในขณะเดียวกัน meepole ได้สิ่งดีๆจากในนี้เช่นกัน มี 2-3 คนที่ meepole ได้ตามอ่านแล้วเกิดประโยชน์ในด้านความคิด มีการดำเนินชีวิตที่มีเส้นทางที่สอดคล้องกัน สามารถลปรรกันได้ ในนี้รวมคุณบ้านไกลด้วย นี่เป็นประโยชน์ค่ะ

จึงเป็นการน่าเสียดายมากหากมิตรจากทางไกล จะตัดตัวออกไปจากสังคมนี้ meepole เคยคิดเช่นนี้เช่นกันเพราะต้องให้เวลากับการเขียนแม้ว่าจะใช้เวลาไม่มากนักก็ตาม แต่ก็กลับมาคิดว่าการให้ความรู้ โดยการค่อยๆเติมความคิด หลักธรรม เป็น soft approach ที่ดีโดยเฉพาะในสังคมที่มีการศึกษาในระดับหนึ่ง เหมือนดอกบัวในเหล่าที่สอง สาม และไกล้สี่ หากช่วงใหนไม่มีเวลาว่างมากก็สามารถเข้ามาได้เดือนละครั้ง

อย่างน้อยดิฉันขอบอกความตั้งใจที่เกิดหลังจากการอ่านท่องไปในข้อเขียนของคุณ ทำให้ตัดสินใจจะไปที่วัดถ้ำตองในช่วงปิดเทอม ชวนเพื่อน 3 คนที่สนิท ทุกคนแปลกใจด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่ขอเรียนคุณคนบ้านไกลว่าสิ่งที่คุณได้เขียนได้บังเกิดผลในการกระตุ้นให้ดิฉันออกจาก frame บางอย่างไปในที่ๆดิฉันขอเลือกแล้วเลือกอีกมานาน แต่จะขอหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยค่ะ

ที่เขียนมายาวมากเพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่คุณได้ให้เวลาในการเขียนไม่ได้เปล่าประโยชน์ เป็นอีกวิธีของการปฎิบัติธรรมคือการให้ธรรมะ เช่นกันค่ะ

แต่สุดท้ายคงต้องเคารพในการตัดสินใจอีกครั้งของคุณ แต่หากจะหยุดจริงๆขอให้ช่วยบอกก่อนนะคะ

 

สวัสดีค่ะ บ้านของคุณ meepole บรรยากาศดีมากค่ะ ชอบเป็นพิเศษตรงที่บอกว่า "อานิสงค์ที่ได้จากริมน้ำตรงนี้คือ เพื่อน ญาติสนิทรวมทั้งบ้าน meepole เองใช้เป็นที่ปล่อยเต่า ปล่อยปลา ก็จะดูเวลาน้ำขึ้น ก็ลงในแพมาปล่อยกัน"

ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ

สวัสดีค่ะ ขอบคุณค่ะที่ชอบ บรรยากาศบ้านริมน้ำที่ค่อนข้างรก แต่สงบค่ะ

แต่มันก็มีอะไรที่เราไม่ชอบแฝงอยู่ ในตอนต่อไปค่ะ

เพิ่งกลับจากกทม.เมื่อคืน อาทิตย์นี้ต้องไปประชุมที่กทม.อีก คนที่ไม่ชอบไปใหน เมื่อต้องไปติดๆกัน รู้สึกเหมือนออกไปเคลือบฝุ่นยังไงยังงั้นเลยค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท