ผู้บันทึกมีความหวังว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยให้ความสำคัญกับความถูกต้องทางวิชาการ ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพของเด็ก เยาวชน และคนไทยโดยรวม
สถานภาพล่าสุดของประเด็นนี้
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2551
ที่ผ่านมานี้
ผมมีโอกาสได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ
คุณเมตตา อุทกะพันธุ์
ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
โดยมีประเด็นสำคัญได้แก่
การแจ้งให้ทางบริษัทฯ ทราบว่า หนังสือ
ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น
ซึ่งเขียนโดย ทันตแพทย์สม
สุจีรา
มีเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดพลาด &
คลาดเคลื่อน อย่างมาก
(หากพูดแรงๆ ก็คือ
แม้การบิดเบือนข้อมูลต่างๆ
ทางวิทยาศาสตร์จะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
แต่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้างไปแล้ว
และเนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริง
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทักท้วงและทำให้ผู้ที่สนใจทั่วไปตระหนักในประเด็นนี้)
ทั้งนี้คุณเมตตาได้กล่าวว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ทักท้วง
เพราะในราว 1
ปีที่หนังสือเล่มนี้ออกมา ไม่มีใครแจ้งมาว่าหนังสือมีข้อผิดพลาด
คุณเมตตายังกล่าวด้วยว่า
บ.อมรินทร์ให้ความสำคัญกับความถูกต้องทางวิชาการเป็นอย่างสูง
ผมจึงเรียนคุณเมตตาไปว่า
ในช่วงที่หนังสือเล่มนี้พิมพ์ซ้ำได้สัก 3-4 ครั้งนั้น
ผมได้รับการติดต่อจากบรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้ (คุณเทวัญกานต์
มุ่งปั่นกลาง)
ทั้งทางโทรศัพท์และทางจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการ
เพื่อให้ทำการแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษ
แต่ในขณะนั้น
ผมได้แจ้งบรรณาธิการไปว่า
หนังสือเล่มนี้มีข้อเท็จจริงในทางวิทยาศาสตร์ผิดพลาดมาก
หากจะมีการแปล
จำเป็นต้องแก้ไขความผิดพลาดเสียก่อน
มิฉะนั้น ทั้งผู้เขียน & สำนักพิมพ์
จะสูญเสียความน่าเชื่อถือในระดับสากล
ทั้งนี้ ได้ย้ำเตือนบรรณาธิการไปอย่างน้อย 2
ครั้ง
ต่อมา ผมได้มีโอกาสสนทนากับผู้เขียน
(คือ ทพ.สม) ทางโทรศัพท์
และได้บอกไปว่า
มีประเด็นที่ต้องแก้ไขหลายประเด็น
และอยากใช้การพบกันเพื่อพูดคุยชี้แจง
แต่ ทพ. สม
บอกว่าให้ผมแจ้งไปว่าประเด็นใดบ้าง เขาจะได้ไปเตรียมตัวมาก่อน...
ราว 1 ปีผ่านไป
ประเด็นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
ผมจึงขอนำตัวอย่างความผิดพลาด (บางส่วน)
ในหนังสือเล่มนี้มาบันทึกไว้เป็นหล้กฐาน
เพื่อใช้ในการเรียนรู้ &
อ้างอิงได้ต่อไป
1)
ตัวอย่างความผิดพลาดที่ตรงไปตรงมา
(ซึ่งแก้ไขได้ไม่ยากนัก)
ในกรณีที่เป็นข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์ (เช่น ใครค้นพบอะไร)
หรือแนวคิดพื้นฐานที่มีนิยามชัดเจน
ก็มักจะสามารถพบเห็นความคลาดเคลื่อนได้ง่าย
ทำให้ชี้แจงและแก้ไขได้ไม่ลำบากนัก เช่น
1-A) “มักซ์ พลังค์ (Max Planck)
เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีควอนตัมและเทอร์โมไดนามิก” (หน้า 16):
ข้อชี้แจง :
ที่ถูกต้องคือ มักซ์
พลังค์
เป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์ที่นำไปสู่การพัฒนาทฤษฎีควอนตัมยุคเก่า (the
old quantum theory)
สำหรับเทอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamics) หรือวิชาอุณหพลศาสตร์
นั้นมีพัฒนาการมายาวตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1650 แล้ว
โดยต่อมามีทั้งนักทฤษฎีและนักทดลองจำนวนมากช่วยกันเติมเต็มความรู้ในแง่มุมต่างๆ
ส่วนชื่อ thermodynamics เสนอโดย เจมส์ จูล (James Joule) ในปี ค.ศ.
1858
มักซ์ พลังค์
1-B)
“...ไอน์สไตน์ได้เรียกควอนตัมของแสงว่าโฟตอน..” (หน้า 22)
:
ข้อชี้แจง :
ผู้ที่เสนอคำว่า โฟตอน (photon) ได้แก่ นักเคมีเชิงฟิสิกส์ (physical
chemist) ชื่อ กิลเบิร์ต เอ็น
ลิวอิส (Gilbert N. Lewis) โดยเสนอในปี ค.ศ. 1926
ส่วนไอน์สไตน์นั้นใช้คำว่า das Lichtquant ในภาษาเยอรมัน
ซึ่งแปลว่า ควอนตัมของแสง (light quantum)
กิลเบิร์ต เอ็น ลิวอิส
1-C) “...เมื่อมีการค้นพบ Chaos Theory
(ทฤษฎีแห่งความยุ่งเหยิง) จากทฤษฎีนี้ทำให้เกิดปัญญาว่า
โมเลกุลของน้ำมีสภาพของความสับสนอลหม่านยุ่งเหยิงเสียดสีกันอยู่ภายในตลอดเวลา”
(หน้า 128):
ข้อชี้แจง :
ทฤษฎีที่พูดถึงโมเลกุลของน้ำซึ่งสั่นไหวและเคลื่อนที่เสียดสีกันอยู่ตลอดเวลานั้น
ได้แก่ กลศาสตร์เชิงสถิติ (statistical mechanics)
ส่วนทฤษฎีเคออสนั้นแม้ชื่อจะแปลว่า โกลาหล หรือยุ่งเหยิงสับสน (chaos)
แต่ไม่ได้มีความหมายในทางวิทยาศาสตร์อย่างที่กล่าวอ้างถึง
1-D)
“ทางเดียวที่จะพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพด้วยตัวเองได้คือการพิสูจน์ทางจิต…เมื่อจิตละเอียดถึงจุดจะพบกับความมหัศจรรย์ของเวลาตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์”
(หน้า 174) :
ข้อชี้แจง :
การตรวจสอบผลทำนายจากทฤษฎีสัมพัทธภาพในเรื่องเวลานั้น
มีการทดลองทางกายภาพหลายการทดลองและได้ทำมานานแล้ว เช่น
การตรวจวัดอายุขัยของอนุภาคต่างๆ
และการใช้ผลการคำนวณเวลาในระบบบอกพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS, Global
Positioning System) เป็นต้น ข้อความดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง
สำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่า
เรื่องเกี่ยวกับเวลาในทฤษฎีสัมพัทธภาพสามารถพิสูจน์ได้ด้วยจิตได้นั้น
คงต้องตรวจสอบก่อนว่า นิยามของคำว่า “เวลา”
ที่ผู้ที่กล่าวอ้างมีประสบการณ์ตรงทางจิตนั้นตรงกับนิยามของ “เวลา”
ที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพกล่าวถึงหรือไม่
ภาพจากหนังสือ An Illustrated A Brief
History of Time โดย Stephen Hawking
เพราะแม้แต่ในทางวิทยาศาสตร์เอง
เวลาก็มีได้หลายแบบแล้วแต่ว่าจะอิงกับทิศทางของอะไร เช่น
อิงกับทิศทางของปรากฏการณ์ตามกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์
(thermodynamic arrow) อิงกับทิศทางการขยายตัวของเอกภพ (cosmological
arrow) หรือ
อิงกับความรู้สึกหรือการรับรู้ในทางจิตวิทยาว่าเวลาผ่านไปอย่างไร
(psychological arrow) เป็นต้น
2)
ตัวอย่างความผิดพลาดที่มีประเด็นซับซ้อน
(ซึ่งต้องใช้ความพยายามในการแก้ไขมาก)
แนวคิด สมมติฐาน ทฤษฎี
หรือผลการสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างมีความซับซ้อน
และจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานที่เกี่ยวข้องมาก่อนเป็นอย่างดี
หากผู้ที่นำไปกล่าวถึงไม่เข้าใจเงื่อนไขการใช้งานโดยแจ่มแจ้ง
ก็ย่อมจะสุ่มเสี่ยงต่อการผิดพลาดได้โดยง่าย
การแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวต้องใช้ความพยามยามและเวลาอย่างมากทั้งในส่วนของผู้ที่อธิบายและผู้ที่ต้องทำความเข้าใจ
ในตัวอย่างต่อไปนี้จะให้คำอธิบายไว้เพียงเบื้องต้น
เพราะประเด็นทางวิชาการที่เกี่ยวข้องมีความซับซ้อนเกินกว่าจะนำมาขยายความได้ทั้งหมดไว้ในบทความนี้
ทั้งนี้ ผู้เขียนจะหาโอกาสขยายความในโอกาสต่อไป หากมีผู้สนใจ
2-A) “ทุกๆ
สิ่งในจักรวาลหลังการระเบิดครั้งใหญ่ (บิ๊กแบง)
จะมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะที่ยุ่งเหยิงมากขึ้นเสมอ” (หน้า
73-74):
ข้อชี้แจงเบื้องต้น
:
ข้อความนี้ถูกบิดเบือนมาจากกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ที่ว่า
“เอนโทรปี (entropy) ของระบบโดดเดี่ยว (isolated system)
มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นหรือคงที่”
โดยระบบโดดเดี่ยวในทางเทอร์โมไดนามิกส์หมายถึง
ระบบที่ไม่แลกเปลี่ยนทั้งมวลสารและพลังงานกับสิ่งแวดล้อม
ในทางเทอร์โมไดนามิกส์ ระบบเปิด (open system)
ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนมวลสารและพลังงานกับสิ่งแวดล้อมได้สามารถมีความเป็นระเบียบเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
2-B) “พระพุทธองค์ตรัสว่า “อัตตา
(ตัวตน) ของคนเรานั้นไม่เคยมีอยู่จริง
สรรพสิ่งในโลกเป็นเพียงสิ่งสัมพัทธ์ (อิทัปปัจยตา)”
ไอน์สไตน์ยืนยันซ้ำพร้อมสูตรทางวิทยาศาสตร์ว่า
“ยิ่งเรียนรู้ความลับของธรรมชาติ
ยิ่งทำให้มนุษย์เราต้องถ่อมตนและสันโดษ
สรรพสิ่งสัมพัทธ์กันไปหมด”....” (หน้า
162) :
ข้อชี้แจงเบื้องต้น :
ประเด็นนี้น่าสนใจทีเดียว เพราะชื่อทฤษฎีสัมพัทธภาพ (theory of
relativity) นั้นชวนให้เข้าใจผิดพลาดไปได้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัมพัทธ์
(คือแล้วแต่ว่าสังเกตเทียบกับใครหรืออะไร) แต่จริงๆ แล้วนั้น
ในทฤษฎีนี้ มีแนวคิดหรือปริมาณที่ตรงกันข้ามกับสภาพสัมพัทธ์อยู่ด้วย
นั่นคือ ความไม่แปรเปลี่ยน (invariance)
ที่น่าสนใจก็คือ สมมติฐาน 2 ข้อที่ใช้ในการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
(special relativity) ก็คือ ความไม่แปรเปลี่ยนนี้
ผู้ที่สนใจโปรดดูแหล่งข้อมูลอ้างอิง [แฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์]
ตัวอย่างความเข้าใจที่ผิดพลาดที่ยกมานี้
หากปรากฏในหนังสือ หรือแหล่งข้อมูลใดเป็นจำนวนมาก
ก็ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่า
เหตุใดผู้ที่ให้ข้อมูลจึงแสดงข้อมูลและทัศนะที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้แต่ข้อมูลบางอย่างที่ตรวจสอบได้ไม่ยาก
สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ เช่น
-
หนังสือหรือเอกสารที่ใช้อ้างอิงส่วนใหญ่ไม่ใช่หนังสือแนววิชาการที่เน้นความแม่นยำ
แต่เป็นหนังสือแนววิทยาศาสตร์อ่านสนุกสำหรับทั่วไป (popular science)
ซึ่งทำให้เรื่องราวต่างๆ ง่าย (simplified) แต่หากง่ายจนเกินไป
(over-simplified)
ก็ย่อมทำให้ผู้อ่านที่ขาดพื้นฐานที่ดีเพียงพอเข้าใจไขว้เขวไปได้โดยง่าย
-
แม้หนังสือหรือเอกสารที่ใช้ในการอ้างอิงจะมีความถูกต้องในทางวิชาการ
แต่หากผู้ใช้ขาดพื้นฐานที่ดีเพียงพอ
(โดยเฉพาะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีความจำเป็นพอสมควรสำหรับวิชาฟิสิกส์)
ก็อาจจะทำให้ผู้ที่นำข้อมูลไปใช้มีแนวโน้มที่จะเลือกนำข้อความบางอย่างมาสนับสนุนความเชื่อของตน
โดยละเลยบริบท (context) ในการใช้งานข้อความที่ยกมานั้น
ลักษณะเช่นนี้ก็ย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
[Chaos-1] James Gleick, Chaos : Making a New Science (ISBN
0-14009-250-1)
[Chaos-2] Ian Steward, Does God Play Dice? The Mathematics of Chaos
(ISBN 0-631-16847-8)
[เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว] บัญชา ธนบุญสมบัติ, , Know How &
Know Why : กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง, สนพ. สารคดี, หน้า 128-137
เรื่อง “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หมายความว่าอย่างไร
[แฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์ ] บัญชา ธนบุญสมบัติ, แฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์,
บ. ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)
ทีมงานวิชาการ.คอม
ได้ให้ความช่วยเหลือในการเผยแพร่บันทึกนี้
โดยนำไป โพสต์ไว้ที่นี่
หากใครสนใจ comments
ที่ผู้อ่านแสดงไว้ในเว็บของวิชาการ.คอม
ก็ตามไปอ่านได้ครับ
ข้อคิดเห็นจากคนที่เคยอ่าน
บันทึกความรู้สึก (อังคาร 5 มกราคม 2552) :
หลังจากเปิดประเด็นนี้มาได้กว่า 1 ปี ทำให้มั่นใจว่า....
มีคนไทยที่นอกจากจะ "ไม่รักความรู้" ยังชอบ (เผลอ?)
ปรักปรำคนที่มาทักท้วงเพื่อความถูกต้อง
ซ้ำร้ายยัง(อวดดี)เข้าข้างคนที่(อ้างว่า)ปฏิบัติธรรมจนมีความคิดผิดเพี้ยนวิปริตอีกด้วย
น่าเป็นห่วงลูกหลานของเราจริงๆ เพราะสังคมแบบนี้
หากจะแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจจะต้องใช้เวลากว่า 1
รุ่นคน....