เวทีเครือข่ายจัดการความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ทางเจ้าภาพได้จัดการความรู้อย่างบูรณาการให้ช่วงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามประเด็นความสนใจเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการในชุมชน ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันของกลุ่มผู้ร่วมประชุม โรงเรียน ผู้นำชุมชน เด็กเยาวชน และชุมชน ซึ่งทำให้ได้สัมผัสกับชุมชนและวิถีชีวิตชาวอีสาน ได้เยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงเรียนโดยเฉพาะการจัดฐานการเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน รองรับการพัฒนาเด็กและเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชาวบ้าน ผมได้ไปฐานการเรียนรู้ที่ ๑ : โรงเรียนบ้านโนนสำราญ ซึ่งเป็นกลุ่มสำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในด้านการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาชุมชน
พลวัตรทางประชากรและสังคมกับความเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาของประเทศ
ในระยะ ๒ ทศวรรษที่ผ่านมานี้ พลเมืองประชากรเด็กและวัยเรียนแต่ละรุ่นของสังคมไทยมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับการคมนาคมติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนชนบทกับชุมชนเมืองมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ชุมชนและโรงเรียนต่างๆมีจำนวนเด็กนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาน้อยลง ที่โรงเรียนบ้านโนนสำราญก็เช่นกัน มีนักเรียนเพียง ๓๐ กว่าคนและมีครูเพียง ๓ คน
ประเด็นอนาคตที่น่าสนใจต่อเครือข่ายจัดการความรู้เพื่อการศึกษาและสังคมไทย
สภาพการณ์ดังที่ปรากฏในโรงเรียนบ้านโนนสำราญนี้ กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศและเป็นประเด็นร่วมที่สำคัญสำหรับอนาคตว่า หากไม่มีเด็กที่จะสอนและไม่มีครูเพียงพอที่จะจัดกระบวนการศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กเท่าที่มีให้เพียงพอต่อความจำเป็นทั้งของสังคมไทยและสังคมโลกแล้ว ความเป็นหน่วยทางวิชาการขนาดเล็กของโรงเรียนในชุมชนจะต้องเผชิญเงื่อนไขความจำเป็นต่างๆอย่างไร จะสามารถนำเอาโอกาสและปัจจัยต่างๆอะไรบ้างมาบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงให้ไปสู่สภาพการณ์ที่พึงประสงค์ที่สุด ? และอย่างไร ?
ที่โรงเรียนบ้านโนนสำราญ คุณครูและชุมชนได้วางอนาคตการพัฒนาตนเองและมุ่งสร้างเด็กไปในอีกแนวทางหนึ่งโดยเน้นความสามารถออกไปเป็นพลเมืองดี มีความสุข พัฒนาตนเอง ดำเนินชีวิตและสร้างความเป็นอยู่ที่พอเพียง ซึ่งกระบวนการเรียนรู้เพียงให้เลื่อนลำดับชั้นไปตามหลักสูตรภาคบังคับ นอกจากจะไม่สนองตอบต่อแนวคิดดังกล่าวแล้ว โรงเรียนก็มีครูอยู่เพียง ๒ คนและครูใหญ่อีก ๑ คนเท่านั้น วิธีแก้ปัญหาของโรงเรียนจึงได้แก่การพัฒนาการเรียนรู้และสร้างเด็กอย่างบูรณาการผ่านโครงงานและฐานการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง โดยดำเนินการต่างๆคือ
ชุมชนและการมีส่วนร่วมของชาวบ้านเป็นกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จของความริเริ่ม
โรงเรียนและชุมชนร่วมกันค้นหาครูภูมิปัญญาชุมชน ซึ่งเป็นชาวบ้านที่จะสามารถรู้และเข้าใจความเป็นชุมชนในมิติต่างๆได้อย่างดี ผูกพันและมีความรู้สึกร่วมต่อความเป็นชุมชนอย่างลึกซึ้ง สามารถผสมผสานความรู้ วิทยาการและเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาต่างๆทั้งของเด็ก โรงเรียน และชุมชน ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถสอน สื่อสาร อธิบาย พูดคุยและเข้าถึงวิธีคิดของชาวบ้านได้ด้วยวิธีของชาวบ้านด้วยกัน
ครูภูมิปัญญาชุมชนนั้น สามารถสอนทั้งความรู้และการดำเนินชีวิตให้แก่เด็ก รวมทั้งมีบทบาททำให้โรงเรียน เป็นแหล่งวิชาการของชุมชน ถ่ายทอดการเรียนรู้ให้ประชาชน ทำให้ไม่เพียงแก้ปัญหาความขาดแคลนครูและบุคลากรทางการศึกษาได้เท่านั้น ทว่า เป็นหน่วยจัดการความรู้และศูนย์จัดการเรียนรู้ พัฒนาชุมชนและสร้างความเป็นพลเมืองในคุณภาพใหม่ของสังคม ทั้งในกลุ่มเด็กและเยาวชนและสำหรับชาวบ้านในชุมชน ก่อเกิดความเป็นรูปธรรมในการพัฒนาตนเองไปสู่รูปแบบใหม่ๆของการบริหารจัดการสถานศึกษาขนาดเล็กในชุมชนได้อีกด้วย
สรุปบทเรียนและการทำเพื่อเรียนรู้
รูปแบบการดำเนินงานดังกล่าว สะท้อนให้เห็นบทบาทของโรงเรียนและสถานศึกษาขนาดเล็กในอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในแนวทางที่สอดคล้องกับสภาพการณ์หลายด้านที่เปลี่ยนไป ทว่า ต้องเรียนรู้ที่จะริเริ่มและพัฒนาขึ้นมานอกเหนือจากบทบาทและรูปแบบที่เคยดำเนินการมาอย่างในอดีตหลายประการด้วยกัน กล่าวโดยสรุปจากสิ่งที่สะท้อนอยู่ในบทเรียนของโรงเรียนบ้านโนนสำราญ คือ
กิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้หลายอย่างที่โรงเรียน ชุมชน เครือข่ายครอบครัว ผู้นำทางจิตใจและเครือข่ายครูภูมิปัญญา ของชุมชนบ้านโนนสำราญได้ดำเนินการขึ้นนั้น หากถือเอาผลกำไรและความสำเร็จเป็นรายโครงการกิจกรรมเป็นที่ตั้งแล้วก็อาจจะเห็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นกอบเป็นกำทันกับความต้องการของโลกภายนอก อีกทั้งอาจจะหายไปในระยะเวลาอันสั้นก็ได้
ทว่า หากมองในความเป็นการบริหารจัดการเพื่อการเรียนรู้และการจัดการความรู้เพื่อสร้างคุณภาพการเรียนรู้แล้ว โรงเรียน ครอบครัว และชุมชน ตลอดจนเครือข่ายที่เรียนรู้ด้วยกัน ก็นับว่าได้บทเรียนและประสบการณ์ตรง ในการตั้งคำถามและสร้างความเป็นจริงใหม่ๆของสถานศึกษาขนาดเล็ก ที่มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆของสังคมไทยที่กำลังเกิดขึ้น.
............................................................................................................................................................................
บันทึก UKM-18 มีทั้งหมด ๑๐ ตอน ตอนที่ท่านกำลังอ่านและชมนี้ เป็นตอนที่ ๘
ตอนที่ ๑ คุณภาพการศึกษาสู่การเรียนรู้และการพัฒนาชุมชน
ตอนที่ ๒ มิติจัดการความรู้ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์ทางสังคมแก่เด็กๆ
ตอนที่ ๓ จัดการความรู้สื่อและเทคโนโลยีการศึกษาเพื่อเสริมพลังภูมิปัญญาปฏิบัติ
ตอนที่ ๔ โอกาสพัฒนาการเรียนรู้ของพลเมือง : Life-Long Learning Space ในที่พักผู้ร่วมเวที
ตอนที่ ๕ เพิ่มโอกาสเข้าถึงและบ่มสร้างการมองโลกด้วยศิลปะ
ตอนที่ ๖ จัดการความรู้สร้างแหล่งเรียนรู้ปูมเมืองและมุมสร้างประสบการณ์ภายใน
ตอนที่ ๗ ถ่ายรูป Documentation ยุค Digital/Computer-Based ต้องพัฒนาแนวคิด ปฏิรูปความรู้และวิถีปฏิบัติ
ตอนที่ ๘ เครือข่ายจัดการความรู้กับทางรอดและโอกาสพัฒนาของสถานศึกษาขนาดเล็กในชุมชน
ตอนที่ ๙ ทำหน่วยประสบการณ์ชุมชนให้เป็นฐานการเรียนรู้บูรณาการอย่างเบ็ดเสร็จ
ตอนที่ ๑๐ สรุปบทเรียนและการสะท้อนความคิด พลังเครือข่ายจัดการความรู้มหาวิทยาลัยไทย
ไม่มีความเห็น