กราบสวัสดีทุกท่านครัีบ
คงสบายกันดีนะครับ บันทึกนี้ขอเขียนตอบสิ่งที่คุณครูปู(ครูปู) คุณปู( poo ) และพีุ่อุบล ( แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช ) อยากรู้ใน Tag ความลับ และถือโอกาสเป็นการเล่าเรื่อยๆเปื่อยๆครับ จะีมีเกร็ดให้คิดหรือหาไ่ม่เจอเลยก็ได้นะครับ นั่นคือต้นทุนแห่งความเสียใจ ที่ทุกท่านจะลงทุนในการเสียเวลาอ่านบันทึกนี้นะครับ...หากไม่ได้อะไรติด กลับไปหลังจากการอ่านก็คงต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ....
นับตั้งแต่พระอรหันต์ของผมได้แต่งงานกัน คนหนึ่งอายุ 16 คนหนึ่งอายุ 17 ปี คนหนึ่งเป็นลูกคนโตหัวปีมีน้องๆ รวมกันเจ็ดคน อีกคนหนึ่งก็เป็นผู้หญิงคนโตของครอบครัวแต่ไม่ใช่เป็นลูกคนหัวปี แต่เธอต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็กๆ แม้โรงเรียนเองก็ได้ขึ้นเพียงแค่ชั้น ป. หนึ่ง เท่านั้น ในยามที่คุณครูใหญ่เดินทางไปโรงเรียน เธอต้องยืนหลบจอมปลวกเพื่อไม่ให้ครูใหญ่เห็น เพราะเธอต้องไปดำนา ปลูกข้าว ตำข้าวใส่เพล้งสาร (โอ่งเก็บข้าวสารที่ผ่านการสีหรือตำแล้ว) ดูแลครอบครัว เรียกได้ว่าต้องโดดเรียนเพื่อความจำเป็นในการทำงาน ประกอบกับในขณะนั้นแนวคิดที่จะให้ลูกหญิงเรียนหนังสือนั้นค่อนข้างต่ำมากในเวทีชนบท ในขณะที่อีกคนได้มีโอกาสเีรียนเยอะ และจบสูงในตอนนั้นและตัวคนเดียวในละแวกบ้านที่ได้เรียนหนังสือ ในขณะที่เดินทางไปโรงเรียน เพื่อนๆ จะบอกว่า เฮ...อย่าไปขึ้นเลยโรงเรียน(โรงเรียนไม่ใช่ต้นไม้ครับ แต่คนใต้ใช้ว่าขึ้น ขึ้นหมายถึงปีน ในที่นี้คือเข้าโรงเรียนครัีบ) ออกมายิงนกกันดีกว่า.... นั้นคือคำยอดฮิตที่ได้รับฟังจากเพื่อนของเธอ...
หลังจากที่ทั้งสองได้สมรสกันแล้วนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายของทั้งคู่ เพราะทั้งคู่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว การแต่งงานในตอนนั้นอายุแค่นั้นนับว่ายังเด็กมากหากเทียบกับปัจจุบัน แต่ความรู้สึกนึกคิดและความรับผิดชอบนั้นคงไม่ด้อยไปกว่า คนอายุสามสิบกว่าปีในปัจจุบันด้วยวุฒิภาวะของความเป็นคนโตและดูแลรับผิดชอบ ครอบครัวตลอดจนการมีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ซึ่งก็ส่งผลต่อเนื่องมาจนให้เห็นถึงในปัจจุบันนี้
เวลาผ่านไปในการแต่งงาน ทำงานหนัก ต้องสีข้าวบริการชาวบ้าน ตอนนั้นไม่มีการเก็บค่าบริการต่างๆ การเป็นอยู่เป็นการพึ่งพาเกื้อกูลกันเต็มที่ (ทุกวันนี้ก็ยังมีเครื่องสีข้าวและบริการสีข้าวฟรีอย่างเดิมแต่ีบริการในยามจำเป็นกับเอาไว้สีข้าวทานกันเองในครอบครัว เพราะคนสีอายุมากแล้วครับ) มองหัวใจที่มีค่ามากกว่าค่าสินจ้าง เน้นเรื่องน้ำใจที่ให้แก่กันในชุมชน เวลาผ่านไปแล้วหลายๆ ปี ก็ไม่มีลูกหรอกครับ ใครว่าหมอที่ไหนดีในการขอลูกก็ไปและทำมาจนหมดด้วยความหวังที่อยากมีลูก ในที่สุดก็สรุปว่าตนเองไม่ใครคนใดคนหนึ่งก็ต้องเป็นหมันละครับ จึงไม่ได้สนใจและทำงานสร้างฐานะทางครอบครัวกันไป และได้ขอยืมลูกคนข้างบ้านมาอยู่ด้วยเลี้ยงดูส่งให้ไปโรงเรียนอยู่หลายปี
ก่อนนอนเธอก็เล่าว่าได้พนมมือแล้วขอลูกกับสิ่งศักดิ์เพื่อให้เธอได้มีลูกสม ใจหวังครับ เวลาผ่านไป 13 ปีจึงเป็นโอกาสที่เธอทั้งคู่มีข่าวดีและอุ้มท้องไปทำงานไป สีข้าวไป ส่วนอีกคนก็ทำงานเป็นลูกจ้างกรมทางหลวงในการทำงานทางด้านสร้างถนนหนทาง แล้วเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเป็นวันสิ้นปีงบประมาณเธอได้รู้สึกปวดท้องตั้งแต่เช้า ในขณะที่เพื่อนบ้านของเธอก็ปวดท้องและคลอดลูกในตอนเช้า เธอก็คิดว่าปวดท้องมากวันนี้คงได้เห็นหน้าลูกน้อยแต่ก็ปวดอยู่ทั้งวัน เลยไม่รู้จะทำอย่าง ตอนนี้คุณหรือคุณยายเลยไปตามคุณทวดมาครับคุณทวดเลยบอกว่า จะให้ออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น คุณทวดเลยบอกว่า ลูกเอยลูกถึงเวลาได้ฤกษ์ที่จะออกมาแล้ว หากเป็นชายก็ให้บวชตอนอุ้มบาตรไหว หากเป็นหญิงก็จะให้บวชชีพราหมณ์ถวาย หลังจากนั้นไม่นานหนักเวลาพลบค่ำ ประมาณ หกโมงครึ่งตอนเย็นเสียร้องของลูกก็ดังขึ้นแล้ว ท่ามกลางความดีใจของทุกๆคน เป็นเด็กหัวโต การคลอดในสมัยนั้นเป็นการคลอดแบบธรรมชาติแบบบ้านๆ คือคลอดด้วยหมอตำแย (คือหมอทำคลอดแบบบ้านๆ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอย่างทุกวันนี้) ผู้ให้กำเนิดต้องนอนแคร่ อุ้มก้อนเส้า (ก้อนหินใหญ่หนักร้อนๆอุ่นๆ) อยู่กว่าทุกอย่างจะเข้าที่ประมาณ 3 วัน จึงจะได้เดินปกติ แคร่ที่เธอนอนในบ้านนั้น จะต้องก่อไฟไว้ใต้แคร่ด้วยเพื่อให้อุ่นตามแบบที่เชื่อและปฏิบัติต่อๆ กันมา
ชีิวิตการเลี้ยงลูกก็ดำเนินกันต่อไป ประกอบเธอต้องทำงานหนัก เด็กน้อยคนนั้น ก็เล่ากันว่าตั้งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น นั่งนิ่งของเค้า เล่ากันว่าในตอนนั้น ใครๆ ทราบข่าวก็มาแสดงความยินดีที่มีลูกคนพร้อมนำเืสื้อผ้ามาฝากเสมอๆ เธอเล่าว่าลูกของเธอมีเสื้อที่ญาติที่น้องมาฝากมากมาย ตลอดจนของเล่นต่างๆ ชื่อเ่ล่นของลูกน้อยเลยกลายเป็นว่าเป็นคำชมที่ว่า เกิดมาทำไมเค้ารออยู่ตั้งนานน่่าจะแม้งเสียจริง อะไรทำนองนี้ครับ เลยได้ชื่อว่า แม้ง... ปรับเป็น เม้ง ได้อย่างไร (อ่านในลิงก์ที่แนบด้านล่างครับ)
ด้วยความเป็นลูกคนแรก และหลานคนแรกของตระกูลเพราะว่าคุณปู่นั้นได้แยกวงสกุลใหม่จาก ช่วยคงคา เป็นช่วยอารีย์ และคุณพ่อก็เป็นลูกคนโต แม้จะแต่งงานก่อนนานแล้วแต่ก็คุณอาก็เพิ่งแต่งงานก็มีลูกหลังจากลูกคนแรก ของคุณพ่อเกิดมา จึงถือว่าเป็นหลานคนแรก และได้รับการตามใจเป็นอย่างมา คุณแม่เธอเล่าว่า ใครทำอะไรไม่ได้ และหากใครเดินมาคุณปู่จะบอกและสอนให้ด่าคน ประมาณว่า น่านหลานปู่เก่งจริงๆ ด่าหน่อยๆ นะ ด่าคนนี้หน่อย ด่าคนนั้นหน่อย คำด่า คำสบถ เลยติดปากมาจนถึงตอนก่อนเข้าโรงเรียน ชีิิวิตส่วนใหญ่เป็นการอาศัยอยู่ที่บ้านคุณปู่คุณย่า (ผมเองเชื่อว่าการศึกษาพัฒนาคนได้ทั้งกาย สมองและหัวใจ สิ่งไม่ดีไม่ได้หายไปไหนที่เราเคยทำในอดีต มันกลายเป็นฐานประสบการณ์ของชีวิต เพียงแต่การจัดการบริหารภายในตัวเราไม่ใ้ห้ยืนอยู่บนอารมณ์ที่ขาดเหตุผลนั้น การศึกษาช่วยได้ อยู่ที่ว่าเราจะชนะใจเราเองได้หรือเปล่าครับ)
สี่ปีต่อมาจากจากลูกคนแรก เธอก็มีลูกสาวอีกคน เป็นโอกาสหนึ่งที่รู้สึกกันว่าคลอดได้ดีจัง ชายคนหญิงคน และอีกสามปีต่อมาเธอมีลูกชายอีกคน และท้ายสุดคือ สองปีต่อมาลูกชายคนสุดท้องก็กำเนิด ลูกทั้งสี่ของเธอคลอดด้วยหมอตำแยหมดเลย ลูกแต่ละคนจะไม่ได้รู้จักโรงพยาบาลอย่างเพื่อนๆ คนอื่นของเค้า แต่ตอนนั้นทุกๆ คนส่วนใหญ่ก็คลอดด้วยหมอตำแยกันทั้งนั้น อันนี้คงขึ้นกับคุณหมอตำแยด้วยครับ ผมจำได้ว่าตอนที่น้องชายผมคลอดออกมาจะมีการจับเท้าน้องชายแล้วห้อยหัวลง แล้วตบที่ท้ายทอยของน้องชายเบาๆ แล้วเอาน้องชายอาบน้ำในกะละมังที่เตรียมไว้ คุณแม่ก็อยู่ไฟอีกสามวันต่อไปครับ ในตอนนั้นผมมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวเราไม่ว่าจะก้อนหินเหล่านั้น แม้แต่คำถามว่าคนเราเกิดมาได้อย่างไร เพราะยังเด็กๆ อยู่ แม้จะมีคำตอบอะไรมากมายก็รู้ว่าผู้ใหญ่โกหกยกเรื่องให้เรียนรู้เอาตอนโตๆ นั่นล่ะครับ
เหตุการณ์หนึ่งที่เธอผู้เป็นแม่เสียใจมากตอนนั้นก็คือ ลูกชายคนแรกยังกำลังคลานๆอยู่แล้วเอามือไปปัดตะเกียงล้มตะเกียงเลยล้มทับ หลังมือของลูกเลยได้แผลเป็นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งในขณะเป็นแผลเล็กๆและโตขึ้นตามการโตของมือ แต่ผมคิดว่าเรื่องแผลกายนั้นไม่เท่าไหร่ แผลใจนั้นสำคัญกว่า ต้องหาวิธีการรักษาที่แยบยลกว่าที่จะไปหาหมอให้ทำแผลเย็บๆ แล้วทายาครับ ตรงนี้จึงต้องเอาไว้เตือนใจเราด้วยครับ
จากจุดเรื่องต้นตรงนี้ มองมาสู่ตัวผมในปัจจุบันนี้แล้ว มีช่วงต่างๆ ดังนี้
* ตั้งแต่การเที่ยววิ่งเล่นจนอายุครบ 7 ขวบ (ก่อนเข้าเรียน)
* ช่วงเรียนระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมต้น
* ช่วงเรียน ม.ปลาย
* ช่วงเรียน ป.ตรี
* ช่วงเรียน ป.โท
* ช่วงเรียน ป.เอก
(ความสำเร็จไ่ม่ใช่การได้เรียนจบสูงๆ แต่อยู่ที่ว่าเอาความรู้ที่มีมอบให้กับสังคมใ้ห้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ปรับจากคุณปู่ไอน์สไตน์)
แต่ละช่วงเหล่านั้นแบ่งตามสถานที่อยู่นะครับ คือย้ายที่ไปเรื่อยๆ ยิ่งเรียนยิ่งห่างจากบ้านเอง ห่างแต่ตัวนะครับ แต่ความรู้สึกสำนึกนั้นพอจะยังมีเหลืออยู่บ้างครับ
ข้อคิดและรายละเอียดอื่นๆ อ่านได้จาก
บทสรุปของกิจกรรม สรุปท้ายกิจกรรม
บทสรุปของชีวิตสรุปที่เชิงตะกอน
ชีวิตนี้ผิดพลาดได้และเราควรให้โอกาสคน
เพราะวันหนึ่งเราอาจจะต้องขอโอกาสจากคนอื่นเช่นกัน
คุณครูปู คุณปู พี่อุบล และทุกท่านครับ จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรนะครัีบ ไม่สามารถสรุปเป็นข้อๆ ได้ เอาเป็นว่าเป็นเรื่องราวแบบที่เห็นตรงนี้ก็แล้วกันนะครัีบ มีอะไรก็ถามได้ วิจารณ์ได้นะครัีบ ด้วยความยินดีครัีบ
ขอบคุณมากครัีบ ด้วยมิตรภาพและนับถือครับ
เม้งครัีบ