ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา ตอน... “สะบายดีหลวงพระบาง !”


ตอน... “สะบายดีหลวงพระบาง !” (โดย น้ำฝน)

น้องสาวไปเที่ยวเมืองลาว

เห็นว่าสนุกดี ก็เลยอยากนำมาแบ่งปันความประทับใจ

เชิญอ่านครับ ===>

--------------------------------------------

ไป เบิ่ง เมืองลาวให้เห็นกะตา

ตอน... “สะบายดีหลวงพระบาง !”

ความเดิมตอนที่แล้ว   ...  เมื่อมหกรรมการเดินสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเช้าก็จบลงอย่างสวยงาม ทุกคนได้เติมพลังงานสำหรับช่วงบ่าย ที่จะพาเราไปเที่ยวแบบสัมผัสธรรมชาติ ... 

 ตื่นได้แล้วคร้าบๆ เสียงพี่ประไพปลุกให้ฉันตื่นจากการเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาราช   จากนั้นก็ตาลีตาเหลือกลงจากรถ มีรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวจอดอยู่ประปราย สายตาก็สอดส่องหาเสบียงทันที อิอิ ในที่สุดได้มันปิ้ง มะม่วงสุดเปรี้ยวลูกเล็กๆ พร้อมพริกเกลือ ((ซึ่งประกอบไปด้วยพริกและเกลือเท่านั้นจริงๆ เกลือลาวเค็มสุดๆ)) เสบียงพร้อม! คนพร้อม! เราก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกกวางสีทันที เส้นทางเข้าสู่น้ำตกร่มรื่นมาก ได้ยินเสียงนกร้อง ประสานกับเสียงน้ำตกที่ได้ยินแว่วๆ มาแต่ไกล ตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่เขตป่า  เจ้าบ้านกลุ่มแรกที่ต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวคือ หมีดำ(black beer) อยู่ในกรงขนาดใหญ่ ที่มีบ้านไม้ขนาดย่อม  เสาไม้, แคร่, กองหญ้า แต่ละตัวก็อยู่ในอิริยาบถต่างกัน บ้างก็กำลังปีนป่าย  บ้างก็นอนสบายอุราอยู่บนขอนไม้ บ้างก็กำลังกิน ชมหมีหนำใจแร้ว  เดินก่อนไปอีกนิดก็จะเป็นเขตของ “ Phet ” เสือโคร่งอินโดจีน  อาณาเขตของเพชรกว้างและต่างจากเขตของครอบครัวหมีดำ  มองจากภายนอกจะเห็นแค่กรงเหล็กกั้นป่าส่วนหนึ่งไว้   อาณาเขตของเพชรจะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ภายในจะมีลักษณะเป็นป่า  มีต้นไม้ใหญ่  เมื่อเดินวนรอบ ๆ จะเห็นว่ามี ยางรถยนต์ถูกแขวนไว้    ต้นไม้บางต้นจะมีผ้าพันรอบ ๆ ลำต้น  มองหาเจ้าบ้านไม่เจอ เห็นแต่ร่องรอยทางเดิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นเส้นทางที่ใช้เดินเป็นประจำ  ตั้งใจไว้ว่าถ้าเราชะตาต้องกัน  ขากลับขอให้เจอตัวละกันนะเพชร  อิอิ  แล้วเราก็ทนฟังเสียงน้ำที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ไหว  รีบจ้ำ ๆ ตามพี่ ๆ ไปทันที

 

 นอกเหนือจากเสียงน้ำตกที่ฟังดูสบายหู  และบรรยากาศอันร่มรื่นแล้ว  สิ่งที่ทำให้ฉันเกิดอาการตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่  ก็คือ  สีเขียวอมฟ้า  ของสายน้ำที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า    เหมือนประติมากรรมที่ธรรมชาติได้สรรสร้างไว้อย่างลงตัว  เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงความสมบูรณ์ ยังไม่ถูกทำลายโดยน้ำมือของมนุษย์    น้ำตกแต่ละชั้นก็มีความงามแตกต่างกันไป  ระหว่างทางพบนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและชาวต่างชาติ ต่างก็ยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร      นักท่องเที่ยวต่างชาติบางกลุ่มก็ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน  เราเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด     เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก  เพราะเป็นจุดที่เหมาะแก่การถ่ายรูป  เป็นมุมที่เห็นน้ำตกลงมาจากชั้นสูงสุดเป็นสายสวยงาม ประกอบกับวิวรอบข้างที่เป็นเขาสูง  และต้นไม้ใหญ่   ทำให้คิดถึงน้ำตกทีลอซูของบ้านเรา  ที่มีความงามมิเป็นรองใคร

   

ขากลับลงมาจากน้ำตกก็แวะไปที่กรงของเพชรอีกครั้งด้วยความหวัง  ละก็เจอจริง ๆ เขากำลังเดินตามทางที่เคยเห็น  รีบจ้ำ ๆ เข้าไปใกล้ ๆ เดินตามไปห่างกันไม่ถึงเมตร มีแค่กรงเหล็กกั้นระหว่างเรา   (( อิอิ ประหนึ่งเจอเนื้อคู่ )) ขนเค้าดูสวยงามมาก  ท่าทางการเดินดูน่าเกรงขาม  เค้ากำลังจะเดินหายเข้าไปในป่า  ก็นึกอยู่ในใจขอภาพข้างหน้าสักรูปเถอะพ่อ  อิอิ เหมือนจะได้ยิน  เพชรก็หยุดเดิน  ละก็นั่งพัก โดยหันหน้ามาให้ถ่ายรูปแต่โดยดี  เสียงพี่ ๆ เรียก หยุดจินตนาการของฉันให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง  แต่ยังมิวายหันไปล่ำลาพ่อหนุ่มเพชร  ก่อนเดินจากมาด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เกิดมาก็เพิ่งเคยเดินตามเสือโคร่งต้อย ๆ ก็คราวนี้แหละ  เกือบกลายเป็นสมิงสาวไปซะแล้วเรา  อิอิ 

 

ออกจากน้ำตกกวางสี  ไกด์ของเราก็พาเราไปยังแวะที่ศูนย์หัตถกรรมสินค้า  มีการสาธิตการทอผ้าด้วยทั้งแบบย่ามและกระเป๋าเสื้อต่างๆ  ซึ่งที่นี่เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่ขายในตลาดค่ำ  ทำให้มีราคาถูกกว่า  เลือกซื้อกันหนำใจก็เดินทางกลับหลวงพระบาง  มีกิจกรรมยามเย็นเป็นการขึ้นยอดเขาพูสี นมัสการพระธาตุพูสี ยอดเขาพูสีมีความสูงประมาณ 150 เมตร ทางขึ้นเป็นบันไดจำนวน 328 ขั้น ตลอดสองข้างทางร่มรื่นไปด้วยดอกจำปา หรือ ลั่นทม  เชื่อกันว่าแต่เดิมบริเวณนี้เป็นเขตป่าศักดิ์สิทธิ์ ต่อมามีฤษีขึ้นไปอาศัยอยู่   ชาวบ้านจึงเรียกว่าพูฤษี หรือ พูสีมา จากจุดนี้สามารถมองเห็นเมืองหลวงพระบางได้ทั้งเมือง  เดิมทีตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเขาพูสี   ภาพพระอาทิตย์ค่อย ๆ จมลงในลำน้ำโขงคงจะสวยงามทีเดียว   แต่ปรากฏว่ามีคนตั้งใจเหมือนเราเยอะไปหมด  เราจึงเดินลงเขาพร้อม ๆ กับที่แสงอาทิตย์ลาลับโลก

                                   

หลังจากมื้อค่ำที่อร่อยแล้ว  เราก็พากันเดินย่อยอาหาร  ผ่านตลาดค่ำ  กลับยังโรงแรมที่พัก  คุณน้องบอย  ไกด์จากเมืองไทยก็สอบถามความเห็นลูกทัวร์ว่ามีใครสนใจที่จะไปสัมผัสบรรยากาศสถานบันเทิงของหลวงพระบาง ยามราตรีบ้าง   มีสิ่งที่น่าสนใจก็คือ  การเต้นรำแบบ Rimbo Rock  แถมมีโม้นิด ๆ ว่าสาวลาวเค้าไปเที่ยวสถานบันเทิง ยังนุ่งผ้าซิ่น ต้องไปเห็นกะตา  เหมารถตุ๊ก ๆ ไปกันครับพี่น้อง  ซิ่งโลด  …..  ร้านแห่งนี้มีชื่อว่า   ราตรีเมืองซัว    ( เป็นภาษาพูดนะคะ  เขียนเป็นภาษาลาวบ่เป็นค่ะ)  ข้างในร้านจะมีโต๊ะเป็นชุดโซฟาเหมือนกับในคาราโอเกะบ้านเรา  มีเวทีสำหรับนักร้อง นักดนตรี  หน้าเวทีมีฟลอร์สำหรับวาดลวดลาย   มีโทรทัศน์หลายมุม สำหรับโต๊ะที่ร้องคาราโอเกะ    ด้วยความปรารถนาดีของคุณน้องบอยที่กลัวเราพลาดไฮไลท์สำคัญ  ก็จัดให้เรานั่งโต๊ะหน้าฟลอร์เลย    ชัดเจนเปลี่ยนเลยอะทีนี้   อิอิ    หลังจบคาราโอเกะทั้งเพลงไทยเพลงลาวจากโต๊ะต่าง ๆ นักดนตรีก็ขึ้นบรรเลง  เห็นเครื่องแต่งกายของนักดนตรีทำให้นึกถึงสุนทราภรณ์สมัยก่อน  ใส่เชิ้ต ถูกหูกระต่าย  นักร้องก็มิได้ต่างกันมากนัก  สวมเสื้อแขนกระบอกปักเลื่อมลายสวยงาม กับผ้าซิ่นยาวคลุมเข่า   เริ่มต้นเพลงจังหวะช้า ๆ ก็พอจะฟังออก  พอเพลงเร็วขึ้น ( เหมือนเพลงเร็วแนวสุนทราภรณ์ )    หนุ่ม-สาวลาวก็พากันออกมาเต้นรำกันเต็มฟลอร์ ( แบบเป็นวงกลม โดยมิได้นัดหมาย )  ทุกคนก็เต้นจังหวะเดียวกันหมดเลย  ตะลึงค่ะ !  คิดออกอยู่อย่างเดียว  มีบรรจุในหลักสูตรการเรียนสมัยประถม มัธยม แน่ ๆ ไม่งั้นไม่พร้อมเพียงโดยถ้วนหน้ากันอย่างนี้   ถึงแม้ว่ามือจะฟ้อนกันคนละท่า  แต่จังหวะเท้าได้เลยอะ  เพลงเล่นติด ๆ กัน2 3 เพลง  พอเพลงหยุด  ทุกคนก็สลายตัวกันอย่างรวดเร็ว  พอเพลงเป็นจังหวะเร็ว อีกก็ออกมาเต้นกันอีก  น้องบอยให้ข้อมูลเพิ่มว่า  ที่  ราตรีเมืองซัว เป็นสถานบันเทิงเพียงแห่งเดียวที่ยังมีการเต้นรำแบบ Rimbo Rock ให้เห็น    ...  สี่ทุ่มกว่า ๆ ก็พากันอำลาราตรีเมืองซัว เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียวกัน...

หลังจากเมื่อคืนหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย   บรรยากาศที่แสนสดชื่นก็ได้ปลุกให้เราตื่นมารับอรุณพร้อม ๆ กับมอร์นิ่งเคาะ (( น้องพนักงานที่โรงแรมจะมาเคาะห้องปลุกตอนเช้า ))   ...  พร้อมกันขึ้นรถไปยังจุดสำหรับตักบาตร  ยังไม่เห็นพระสักรูป    แต่ที่เห็นสุดสายตาก็คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยหลากหลายคณะที่พากันมานั่งเรียงแถวยาววววววววววว   เมื่อได้พิกัดที่ดีแล้วเราก็ทำการจับจองพื้นที่ใกล้ ๆ กับคุณยายชาวลาว  2 3 ท่าน ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว  รับกระติ๊บข้าวเหนียวขนาดเท่าบาตรพระมาอุ้มไว้    หางตาก็เห็นแถวผ้าเหลืองเรียงรายออกจากวัดต่าง ๆ มา  สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธจริง ๆ  พระภิกษุ สามเณร  นับร้อย ๆ รูป  เดินกันเร็วมาก  ช่วงแรก ๆ ของการตักบาตร  ด้วยความที่เราไม่ชินกับการปั้นข้าวเหนียว (( จริง ๆ แล้วพี่เค้าเรียกว่า จกข้าวเหนียว )) ทำให้ขาดช่วงในการใส่บาตร  ก็เหลือบไปเห็นคุณยายเค้าปั้นข้าวเหนียวร้อน ๆ ก้อนใหญ่ ๆ มาไว้ในมือข้างหนึ่ง  อีกข้างหนึ่งก็ค่อย  ๆ แบ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่บาตร  ทำให้เร็ว และง่าย  ทำตามค่ะ  ๆๆ อิอิ  ข้าวเหนียวหมดก่อน  ยังมีพระภิกษุ และสามเณรทยอยมาเรื่อย ๆ ๆ  ก็เลยหันไปเก็บภาพที่น่าประทับใจแทน    ภาพผู้คนนั่งเรียงรายที่เห็นเมื่อตอนขามา  ถูกแทนที่ด้วยแถวผ้าเหลืองสุดสายตา  มีภาพวัด พระอุโบสถ์ เป็นฉากหลัง  เป็นภาพที่ประทับใจรับเช้าวันใหม่จริง ๆ

กลับมาถึงโรงแรมก็เหลือบไปเห็นผู้คนยืนออกันอยู่ตรงต้นมะม่วงยักษ์  นึกขึ้นได้ว่า เป็นร้านกาแฟประชานิยมที่ตั้งใจจะลองลิ้มให้ได้  ก็ชวนพี่ ๆ ไปนั่งกัน  เป็นร้านกาแฟโบราณของสามีภรรยา  แบบว่าขายกันจนรวยเลยว่างั้น  คนเยอะมากค่ะ  คณะทัวร์ต่าง ๆ ที่เห็นไปตักบาตรเช้ากัน  ก็จะพาลูกทัวร์มาทานกาแฟเช้าต่อ  ดีที่เราไหวตัวทันมานั่งก่อน  กาแฟก็โอเคค่ะ  ติดใจปาท่องโก๋มากกว่า  ชิ้นใหญ่ดี  แบบ 2 ชิ้น  อิ่มแทนข้าวเช้าได้เลย  ครบถ้วนกระบวนความ  ได้เพลาอำลาหลวงพระบางแร้ว ๆๆๆๆ     ................  สะบายดีหลวงพระบาง  !      

 ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา ตอน ... โอ้โห ! เมืองมรดกโลก

ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา ตอน ... แรกเริ่มเดินทาง

ปลายทางสู่ ‘วังเวียง’ สวรรค์บนดินที่สัมผัสได้แม้ยังมีลมหายใจ

หมายเลขบันทึก: 200330เขียนเมื่อ 11 สิงหาคม 2008 23:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

หวัดดีค่ะ...คุณรินทร์

เหมือนจะหาย ๆ ไปรึเปล่า ??

อืม...น้ำตกน่าเล่นเนอะ  สวยดี

คุณน้ำฝนก็น่ารัก

เป็นไงค๊ะ...ท่าทางน่าสนุกจัง

สวัสดีครับครูwindy P

 

ก็ไอ้โรคปวดหัวนั้นแหละครับ

เล่นงานไม่เลิก รักษาตัวอยู่ระยะนึง

ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว

ไว้จะเล่าให้ฟังครับ

ขอบคุณมากครับ อยากไปหลวงพระบางอยู่เลยครับ แต่น้องสาวที่เคารพรักของผม มันบอกว่า ไม่ชอบเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เลยอดไป

คุณ ชัย :) P

 

บอกน้องสาวที่เคารพรักของคุณชัยลองซักครั้งแล้วจาติดใจมิรู้ลืมครับ

เหอะๆๆๆๆๆ

ที่หลวงพระบางมิได้มีแต่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างเดียวหรอกนะครับ

ออกจะหลากหลายแนวทั้งแนวธรรมชาติ แนวผาดโผนผจญภัย หรือแม้แต่แนวRimbo Rock  แบบที่น้องน้ำฝนบรรยายไว้งัยครับ หุหุหุ

สวัสดีค่ะคุณรินทร์

ตามครูวินดี้ มาเบิ่งลาว เพื่อย้อนรำลึกความหลังอีกแล้วค่ะ :)

มีความสุขทุกเส้นทางคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท