กรรมของคนมั่ง คนมี...


คนร่ำ คนรวย คนมั่ง คนมี ก็มักจะมี "มิจฉาทิฏฐิ" ตามไปด้วย
ความสุข ความสบายนั้นเป็นข้าศึกตัวสำคัญของ "สัมมาทิฏฐิ..."
คนที่มีความสุข ความสบายมาก ชีวิตของเขาก็ยิ่งหนีออกจาก "ความทุกข์" ซึ่งเป็น "ความจริง" ของชีวิต
ไฉนเลยบุคคลที่ท่านกล่าวเขาจะยอมสละความสุขที่เขามี แล้วจะกล้าของมาเผชิญทุกข์ซึ่งเป็น "สัมมาทิฏฐิ" แห่งชีวิตได้

อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวเริ่มต้นด้วยการมี "สัมมาทิฏฐิ" คงมั่ง คงมี คนรวยขนาดนั้นก็มักจะไม่มีสิ่งสำคัญที่สุดในตัวนี้...

คนมั่ง คนมี มักจะมีเหตุ มีผล
คนที่มีสัมมาทิฏฐิเขาจะอยู่ "นอกเหตุ เหนือผล..."

การกระทำที่จะให้คนมั่ง คนมีมีสัมมาทิฏฐิได้นั้น หนึ่งก็คือ ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้เขาอยู่ไปแล้ววันใดที่เขาเจอทุกข์อย่างแสนสาหัส ถ้าหากเขายังพอมีบุญอยู่ เขาจะเจอ "กัลยาณมิตร" ซึ่งจะนำชีวิตไปพบกับ "แสงสว่าง..."

 

เมื่อทุกข์หนัก ๆ คนที่อยู่รอบข้างเขา คนที่เขาเคยรู้จักนั้นจะเป็นเหตุและปัจจัยอันสำคัญว่าเขาจะลงนรกหรือขึ้น "สวรรค์"

คนรวย ๆ มักมี "กรรม" อยู่อันหนึ่งก็คือ
จะทำอะไร ๆ ก็ใช้แต่ "เงิน"
คนจน ๆ ก็มี "กรรม" อยู่อีกอันหนึ่งก็คือ จะทำอะไร ๆ ก็ใช้แต่ "ใจ"

การขวนขวาย การพยายาม การต่อสู้ชีวิตระหว่างคนรวยและคนจนนั้นแตกต่างกัน
บุญและกุศลในพระพุทธศาสนานั้นจะเข้าสเปคอยู่กับ "คนจน..."
การทำทานนั้นจะเข้าสเปคอยู่กับ "คนรวย"

คนรวย ๆ ทำทานมากสักแค่ไหน หรือแม้นเทียบเท่าด้วยภูเขาหิมาลัย ก็ไม่เทียบเท่ากับใจของคนจนที่ได้ไปรักษาศีลและเจริญภาวนา...

อย่างเรานี้นะอยู่วัดมาสามปี เห็นคนรวย ๆ มาวัดก็มีแต่ซื้อนั่น ซื้อนี่มาถวาย ถวายกันใหญ่โตเลย แต่แค่พอชวนกินข้าววัด ชวนนวนวัด ก็บอกว่าธุรกิจรัดตัว หรือไม่ก็นัดคนโน้นคนนี้ไว้ นัดเพื่อนไว้นาน ๆ เจอกันที ต้องออกไปสังสรรค์ข้างนอก...

คนรวยเขาทำกรรมดีมาอย่างหนึ่งคือทำให้เขา "รวย" แต่ทว่ากรรมชั่วที่เขาเคยทำมาคือทำให้เขาห่างจากพระพุทธศาสนาซึ่งนั่นย่อมทำให้จิตใจของเขาไร้ความสุข "สงบ..."
ความสุขทางเนื้อหนัง เขาย่อมได้รับอยู่ด้วยอานิสงส์แห่งทรัพย์สินที่เขามี
แต่ความสุขทางกายเนื้อที่เขาได้รับนั้น ยิ่งทำให้เราได้รับความ "เร่าร้อน" ที่เกิดจาก "ความโลภ ความโกรธ และความหลง" ที่ฝังอยู่ในจิตในใจ

คนจนเขาทำกรรมมาดีกว่า คือ เขาทุกข์กายและ "สงบใจ"
คนจน ๆ เขามีความสงบมาก ชีวิตเขามีความสุขอันเที่ยงแท้ที่เกิดจาก "ความสงบ"

คนจน ๆ มาวัดก็กินข้าววัด กินข้าวในกาละมัง
คนจน ๆ มาวัดก็นอนวัด เพราะไม่มีเงินจะไปนอนที่ไหน
คนจน ๆ มาวัด (อย่างเรา) ไม่มีสตางค์ถวาย ก็ใช้กายใช้ใจทำงานถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา
คนจน ๆ จึงมีโอกาสรู้ธรรม เห็นธรรมมากกว่าคนรวย
เงินและทรัพย์สินนี้และเป็นเครื่องปิดบัง "ปัญญา" ในการ "เห็นธรรม..."

แต่ถ้าหากจะถามว่าคนที่ก้าวผิดไปแล้วจะให้ก้าวถูกนั้นทำอย่างไร...?
ก็ขอตอบได้คำเดียวว่าต้องมี "กัลยาณมิตร" ที่ดี
คนเราสมัยนี้มี "มิตร" ไม่ดี เอาแค่มิตรเฉย ๆ นะ ไม่ต้องถึงกัลยาณมิตร เพราะกัลยาณมิตรนั้นหายากเต็มที่ แค่มิตรดี ๆ ก็หาแทบไม่ได้แล้ว
ปัญหาเนี่ยมันอยู่ที่ "พระสงฆ์" นี่แหละ
ผู้ที่สังคมสมมติตนให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้ที่ต้องทำตนเป็นตัวอย่าง เป็นหน เป็นทางให้บุคคลทั้งหลายเดินตามไปสู่ทางที่ "พ้นทุกข์"
แต่ผู้นำเดี๋ยวนี้ไม่เข้มแข็ง ก็เลยพาคนทั้งหลายไปผิดทิศ ผิดทาง
พาหาเลข หาหวย ไปวัดก็คุยกันแต่เรื่องร่ำ เรื่องรวย รวมทั้งเหตุทางสังคมก็เอื้ออำนวยให้วัดกลายเป็น "พุทธพาณิชย์..."

เมื่อผู้นำ นำไปทางผิดก็หลงกันไปเรื่อย คิดว่าสิ่งนี้คือพุทธศาสนา พิธีกรรมต่าง ๆ คือพุทธศาสนา ก็เพราะว่าคนที่สมมติตนขึ้นเป็นผู้นำทางพุทธศาสนาทำให้ดูอย่างนั้น

เรื่องอย่างนี้ก็อยู่ที่กรรมของใคร กรรมของมันแล้ว
ถ้าหากยังทำทานอยู่ "มิตร" ก็จะพาไปเจอมิตรอย่างนั้นแหละ
พาไปหาเงิน หาเงิน เจอพระก็เจอแต่พระบอกเลข ให้หวย พระเครื่องรางค์ พระของขลัง
แต่ทว่าหากเจอมิตรจน ๆ เขาก็จะนำพาไปรักษาศีล ไปปฏิบัติธรรม

เงินนี้เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตในการปฏิบัติธรรมของเราได้มากเลยนะ
เงินเป็นแรงบีบรัดในจิตใจคนที่จะทำให้คนเราใช้ประสิทธิภาพของชีวิตไปในทางใด ทางหนึ่ง

อาทิอย่างเราเอง ตอนนี้กำลังจะให้พ่อทำ Detox สูตรมะนาว
แต่ครอบครัวเรามันจน ไม่มีเงินซื้อ Maple Syrub เราก็ต้องขวนขวายหาความรู้เรื่อง "น้ำตาล" กลูโครส และฟลุคโตส ที่เป็นส่วนผสมของ Syrub ต่าง ๆ
แต่คนรวย ๆ เขามีเงินซื้อ เขาก็ได้แต่ซื้อ ซื้อ ซื้อ แล้วก็ซื้อ ไม่ได้ใช้หัวคิดกันสักเท่าไหร่...!!!

การดิ้นรนของคนจน ๆ นี้มันเป็นแรงผลักดันชีวิตได้อย่างดีทีเดียว
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง
หลาย ๆ ครั้งเราทุกข์มาก ทุกข์เพราะว่าไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์สินจะถวายวัดเหมือนใคร ๆ เขา
เห็นครอบครัวโน้น ครอบครัวพระองค์นี้พาครอบครัวเขามาวัด ถวายโน่น ถวายนี่ แต่ครอบครัวของเขาปีหนึ่งถึงจะมาวัดได้ที
โยมพ่อเคยพูดว่า ต้องเข้าใจนะว่าครอบครัวเราเป็นอย่างไร...!!!
อื้ม เราก็เข้าใจ เราก็เลยได้ตั้งตา ตั้งตนเป็น "กรรมกร" อยู่นี่ไง...

คนที่ถวายปัจจัยสร้างเมรุฯ นี้นะ มาวัดครึ่งชั่วโมง เอาเงินทิ้งไว้แล้วก็ไป
แต่เรามาอยู่ที่นี่สี่เดือนแล้ว ทุ่มเท ตั้งใจ ทิ้งชีวิตนี้ไว้กับเมรุฯ...

เราเคยคิดเสมอว่า ถึงแม้นโยมพ่อ โยมแม่เราไม่ได้ถวายเงินอะไรให้กับวัดที่จะมาสร้างศาลา สร้างอะไรใหญ่ ๆ โต ๆ อย่างที่เห็น
แต่โยมพ่อ โยมแม่ถวายเรา ลูกชายคนเดียวของท่านเนี่ยแหละ นำแรง นำกำลัง นำความรู้ที่มีมาสร้างอะไรต่าง ๆ ให้กับวัด ซึ่งจักคงไว้ในพระพุทธศาสนา...

แรงบีบคั้นของคนมีมาก
ณ ขณะที่เจอแรงบีบคั้นนั้น หากข้างกายมี "มิตรที่ดี" เขาจะแปรแรงบีบคั้นนั้นไป "ทำความดี...
ณ ขณะที่เจอแรงบีบคั้นนั้น หากข้างกายมี "มิตรชั่ว ๆ" เขาจะแปรแรงบีบคั้นนั้นไป "ทำความชั่ว...

เราจะเจอมิตรดีได้อย่างไร...?
ถ้าถามเรา เราก็ตอบได้ว่า ต้องสวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนาให้มาก ๆ...
เพราะเรา ตอนที่เจอทุกข์หนัก ๆ ตอนนั้น เราสวดมนต์ตอนเย็นเป็นประจำ สวดไปเรื่อย สวดไปอย่างนั้น
แต่ทว่า วันหนึ่งเราก็มาเจอท่านพระอาจารย์ ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่รู้จักวัดนี้ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อชา เรายังไม่รู้จักเลย ไปอยู่อุบลราชธานีสามสี่เดือน วัดหนองป่าพง ก็ยังไม่แว่วเข้าหูเลย
ตอนนั้นกรรมมันหนัก รู้จักแต่ร้านเหล้า ร้านเบียร์ รู้จักแต่ที่เที่ยว รู้จักแต่ "โรงหนัง..."

อยู่ดี ๆ เราก็มาบวช เราก็ยังงง ๆ อยู่มา เรามาบวชได้อย่างไงหว่า...!!!

พอกลับมาแล้วทุกข์มาก ทุกข์มากก็สวดมนต์มาก
เรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้ไปทำบุญทำทานที่ไหนอยู่แล้ว ก็ได้แต่ดูแลพ่อแม่อยู่กับบ้าน
อีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีเงินก็คงเที่ยวตะลอน ตะลอนไปเรื่อย ไม่ได้ดูแล "พระอรหันต์" ที่บ้านอย่างนั้น
ไอ้เงินนี้ตัวแสบจริง ๆ
มีเงิน ก็มีมือ มีเท้าที่จะไปทำ "ความเลว"
ถึงแม้นจะไปทำดี ก็ละเลยสิ่งที่ดีกว่าคือการดูแลพ่อแม่

ไอ้นี้จริง เพราะอย่างเรา ถ้าเรามีเงิน เราก็จะไปเที่ยวโน่น เที่ยวนี่
ตอนไม่มีเงิน ไม่มีงานถึงได้กลับมา "อยู่บ้าน"
เดี่ยวนี้คนมีเงิน มีงานกันเยอะ พ่อแม่ถึงถูกทิ้งอยู่กับเรา แล้วให้ลูกหลานไปอยู่กับเงิน..
.

คนรวย ๆ เขามีเวลาหาเงิน มีเวลาใช้เงิน แต่ไม่มีเวลาที่จะมาสวดมนต์ ภาวนาอะไรหรอก...
เฮ้อ... ยากนะ ที่จะทำให้คนที่มี "มิจฉาทิฏฐิ" กลับมามี "สัมมาทิฏฐิ" ได้
แต่นั่นก็เถอะ ให้เขาบริจาคเงินไปสักร้อย สักพันภูเขาหิมาลัย วันหนึ่งถ้าบารมีเขาเทียบเท่าได้ซึ่งการรักษาศีลสักเสี้ยวนาที เขาอาจจะเจอกัลยาณมิตรที่ดีแล้วพบทางสว่าง

คงจะต้องรอกันสักแสนชาติ หรือไม่ก็สักร้อย "อสงไขย" เน๊อะ คนที่ทำบุญด้วยเงินเขาถึงจะได้เจอ "กัลยาณมิตร" ที่ดี... (ที่มาจากบันทึก น้อมรับด้วยใจที่นอบน้อม...)

เจอแล้วถ้า "โง่" ก็จะฟังพระธรรมคำสอน ฟังแล้วก็ "โง่" ปฏิบัติไปเรื่อย ไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งมาก ไม่ฉลาดไปหาปลายทางก่อนแล้วจึงเริ่มปฏิบัติ...

เจอแล้วถ้า "อวดฉลาด" ก็จะพลาดโอกาสทองแล้วชาติหน้าก็ค่อยว่ากันใหม่

มีคนหลายคนนะ เดินเฉียด "กัลยาณมิตร" ไป แล้วก็ไปใช้ชีวิตกับ "มิตรเลว ๆ..."

อื้ม... คนมีเงินด้วย มีธรรมด้วยนี่หาลำบากจริง ๆ มีเงิน สังคมก็พาไปผิดศีล พาไปเข้าสังคม งานเลี้ยง รื่นเริง เหล้ายา ปาปิ้ง ละทิ้งพ่อ ละทิ้งแม่ แค่กรรมตัวนี้ก็ตกนรกไปหลายร้อยชาติแล้ว

เฮ้อ... ยาก ยากมาก หากเมื่อใดเรายังมีเงิน มีงาน มีเกียรติยศ ชื่อเสียงอยู่ มาวัดก็มางั้น ๆ มันไม่ถึงจิตถึงใจ ละทิ้ง ปล่อยวางงานไม่ได้ ก็สักแต่ว่ามาอวดร่ำ อวดรวยไปเรื่อย...

กำลังแห่งกัลยาณมิตรนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสไว้ว่า "เราเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น สิ่งทั้งหลายเธอต้องทำเอง..."

คนรวย ๆ เขาไม่ค่อยทำกันหรอก เขามีเวลาทำงาน เขาไม่มีเวลา "ภาวนา..."

ก็นั่นแหละ เหตุและผลมันเป็นอย่างนี้

จงภูมิใจที่เกิดมาจน เพราะความจนเป็นโอกาสที่เราจะได้ "ภาวนา"

อย่าไปอิจฉาคนรวยเลย คนจน ๆ นี่แหละมีโอกาสที่จะพ้นทุกข์ได้ก่อนคนรวย ๆ

ปล่อยคนรวย ๆ เขาร่ำ เขารวย ให้เขาเวียนว่ายตายเกิดไปเถิด

ส่วนเราไปสบายกันดีกว่า ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ภาวนา ย่นภพ ย่นชาติ ปิดโอกาสการ"เกิด" ได้ก่อนใคร...

คำสำคัญ (Tags): #กรรม#คนจน#คนรวย
หมายเลขบันทึก: 303787เขียนเมื่อ 7 ตุลาคม 2009 07:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

คนจน ๆ เขาไม่มีทรัพย์สิน กิจการอะไรให้ห่วงมาก มีรถคันหนึ่งก็ตุเลง ตุเลงไปขวนขวายช่วยงานวัด

อย่างแม่ครัวเขานะ อย่างนั้นเขาจนเงิน แต่เขา "รวย" น้ำใจ

เขาไม่มีกิจการงานใหญ่โตอะไรให้ห่วง เข้าพรรษา เขาก็ปิดบ้าน ปิดเรือน มาเข้าพรรษาด้วย

หรือเขามีร้าน มีโรงเล็ก ๆ เขาทิ้งให้ลูก ให้แฟน ผลัดกันมาอยู่วัดได้

คนรวย ๆ นี้นะ กิจการใหญ่โต วุ่นวาย จะทิ้งก็กลัวคนอื่นมาโกง ดูแลไม่ทั่ว ไม่ถึง

มาวัดก็มาได้ป๊อบแป๊บ ตัวมา ตัวใจอยู่บริษัทโน่น...

คนเก่ง คนรวย คิวเยอะ งานเยอะ โน่นคิวมีถึงปีหน้า แล้วปีหน้าก็มีคิวต่อถึงปีถัดไป ต้องรอ "ชาติหน้า" ก่อนถึงจะ "หมดคิว..."

คนจน ๆ ไม่มีคงมีคิวอะไรหรอก ว่างทั้งวัน ว่างทั้งปี "สบาย" มาวัดสบาย...

มาแล้วตังค์ก็ไม่มีอีก ต้องขวนขวายทำงาน ปฏิบัติ "ภาวนา" เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา...

ชีวิตคนก็เป็นอย่างนี้แหละ

คนรวยเขามีเส้น มีทาง มีถนนอย่างหนึ่ง

คนจน ๆ เขาก็มีเส้น มีทาง มีถนนอีกสายหนึ่ง

สายหนึ่งนำพาชีวิตไปวุ่นวาย แต่รับรู้ได้แค่สุขทางเนื้อหนัง

อีกสายหนึ่งนำพาไปหาความสงบซึ่งเป็นสุขทางจิตทางใจ...

สวัสดีค่ะ

ขอบพระคุณค่ะที่แบ่งปัน เวลาที่เราทุกข์ยากมักจะได้เห็นเพื่อนแท้ค่ะ

วันนี้กรรมกรน้อย...ต้องไปขอโอกาส...สร้างโอกาส...

แบ่งปันเรื่องราว...สู่การเนียนเนื้อวิถีแห่งพุทธสู่การวิถีการดำเนินชีวิต ==> Engaged Buddhism ที่โรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว...

มันก็ดีเหมือนกันนะท่าน...จากการเรียนรู้ R2R เข้าสูกระบวนการพัฒนาจิตพัฒนาใจต่อ ถือว่าคนเล่านี้โชคดีที่มองเห็นโอกาสแห่งการนำพาตนไปสู่ชีวิตการทำงานเยี่ยงผู้ฝึกฝนการเสียสละตน...

 

ไปโลด ไปโลด ไปทำความดีก็ไปโลด...

สนามกีฬาแห่งชีวิตที่แท้จริงนั้นรออยู่ รอ "คนดี" อยู่

ไปเลย ไปเรียนรู้ เรียนและรู้ด้วยการ "เสียสละ..."

ไปแล้ว ฟังให้มาก เรียนรู้ให้มาก อย่าลืมจุดยืนเรื่องความโง่นะ

ถ้าโง่มากก็เรียนรู้ได้เยอะ ถ้าฉลาดมากถ้วยน้ำชามันก็เต็ม...

ความสุขใจของคนพูดคือการที่มีคนฟัง ฟังอย่างตั้งใจ

เสียสละฟังเขามาก ๆ นะแล้วจะเข้าใจ "ชีวิต" ที่แท้จริง...

คนจน คนรวย มันไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก มันก็มีศักดิ์ศรี เท่ากันนั่นหละ ทุกคนเกิดมาต้องมีกรรมกันทั้งนั้น

มันขึ้นอยู่ที่เราทำกรรมอะไรไว้ ต้องได้รับผลกรรมนั้น ไม่ต้องกลัวหรอก ว่ามันจะไม่ตามมา ซักวันนึงกรรม ต้องตามทัน

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครจะรวย ใครจะจน ช่างเค้าเถอะ ส่วนเราไปสบายกันดีกว่า ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ภาวนา ย่นภพ ย่นชาติ ปิดโอกาสการ"เกิด" ได้ก่อนใคร...

อ่านแล้วรู้สึกดีจังเลยเจ้าค่ะ

 

โชคดีที่เกิดมาจน

ไม่มีเงินมาก แต่ก็ขอโอกาสในการสร้างกุศล

งานเยอะกรรมเยอะ ก็พยายามประคับประคองลมหายใจเจ้าค่ะ

หนูทำได้ไม่ต่อเนื่องหรอกเจ้าค่ะ

ระลึกได้ก็ทำ เอาว่ารู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

ไม่รอแล้ว ไม่รอโอกาสแล้ว

ขอหายใจตอนนี้แหละ ยิ้มตอนนี้แหละ เจ้าค่ะ

หยดกระปุก ความเพียร

ขอเพียรเพื่อ ย่นภพชาติ

ความจริงมันทุกข์ หมดสิ้นปฏิเสธ

ความจริงต้องตาย ก็คงต้องมาถึงสักวัน

หนูต้องตายแน่

 

กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

 

 

นั่นแหละ ถ้ารวยกว่านี้ก็คงจะเสาร์อาทิตย์คงจะต้องไปเดินห้าง ช๊อปปิ้ง ใช้เงินให้สมกับ "ความรวย..."

เรามาอยู่ตามประสาคนจน ๆ อย่างเราดีกว่า

กินข้าววันละ "กาละมัง" (กาละมังสังกะสีอีกต่างหาก 5555) แต่อย่าเผลอไปกินปาท่องโก๋แบบลูกพี่เข้าล่ะ เดี๋ยวจะยุ่ง...

ชีวิตนี้มันก็แปลก ทำไมเราต้อง "โง่" ร่ำเรียนมามากมายสุดท้ายแล้วก็ต้องทิ้งทุกอย่างไปเพราะ "ความตาย" มาเยี่ยมเยือน

ครั้งก่อนเคยไปงานศพคนรวย ตอนตายอยู่บ้านหลังใหญ่อลังการณ์ แต่ตอนตายไม่เห็นจะ "อลังการณ์" เหมือนตอนเป็น...

ก็งั้น ๆ งานศพก็งั้น ๆ ใช้เงินจัดก็งั้น ๆ คนที่มา ก็มาเพราะเงิน จ้างมา มาเพื่อหา "ผลประโยชน์"

ตายไปเปล่า ๆ ที่ทำมาก็เท่านั้น

สู้งานศพคนจน ๆ แถวนี้ไม่ได้ถึงเงียบแต่ก็ "อบอุ่น..."

ที่นี่เผาฟรี ไม่มีการจัดงานให้ใครออกหน้าออกตา

คนจน ๆ ก็เป็นคนสำคัญได้ เพราะพระมาก็มากันเยอะแยะ ไม่ต้องใส่ซองให้วุ่นวาย มีเท่าไหร่ก็ลงมา "แผ่เมตตา" ให้หมด...

เมื่อวานไปงานทำบุญ 50 วันพี่สาว

พี่เขยเขาอยากได้หน้าได้ตา ก็เลยไปเสียตังค์เพื่อซื้อหน้าซื้อตา

พระสวดอะไรก็ไม่รู้ สวดป๊อบแป๊บ ๆ เสร็จแล้วก็รับสตางค์ไป เฮ้อ เซ็ง

เราน่ะเหรอ ไม่ต้องให้ตังค์เราหรอก เพราะให้ก็รับไม่ได้ แต่เราก็ต้องไป ไปเพื่อพี่สาว

บอกแล้วว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร ทำไปก็เสียตังค์เปล่า พุทธศาสนาเขาไม่มีอย่างนั้น ทำแบบพรามห์แล้วเหมารวมว่าเป็น "พุทธศาสนา..."

ผีหลอกพระเดี๋ยวนี้หายาก แต่พระหลอกผีเดี๋ยวนี้มีเยอะ

ตอนกลับคุยกับโยมป้า บอกว่าสวดแบบนี้ดี (สวดบาลี)

โยมป้าบอกว่าเคยฟังพระสวด "ร้องเพลง" (ทำวัตรแปล) ไม่ค่อยชอบ ชอบสวดแบบบาลีมากกว่า

เราก็บอกว่าพิธีกรรมแบบนี้ต้องสวดแบบบาลีเพราะว่าฟังไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวคนรู้เรื่องแล้วจะไม่นิมนต์พระมาสวด

พระบทสวดแปลออกมาแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่นอกเหนือจากจะให้เจริญไว้ซึ่ง "ปัญญา"

อนิจจา วะตะสังขารา

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

อุปาทะวะยะธัมมิโน

มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

อุปปัชชิตตะวา นิรุชชันติ

ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป

เตสัง วูปะสะโม สุโข

ความเข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลาย เป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้...

สัพเพ สัตตา

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

มะรันติ จะ มะริงสุ จะมะริสสะเร

ตายแล้วด้วย กำลังตายอยู่ด้วย และจะต้องตายอยู่ด้วย

ตะเถวาหังมะริสสามิ

เราก็จะต้องตายอย่างนั้นเหมือนกัน

นัตถิเมเอถะสังสะโย

ความสงสัยในเรื่องตายนี้ ย่อมไม่มีสำหรับเรา...

คนร่ำรวยนั้นไม่มีความสุขหรอกคะกลับมีความทุกข์เสียมากกว่าเพราะมีเงินมากก็เรื่องมาก ปัญหามาก ไม่เห็นว่าจะมีความสุขตรงไหนเลยสู้คนที่เขาจนๆก็ไม่ได้ไม่ต้องคิดมาก ไม่มีปัญหา ดูน่าจะมีความสุขมากๆน่าอิจฉา

เงินนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์

ที่เราทนทุกข์ในการร่ำ การเรียน การทำงานทุกวันนีก็เพราะ "เงิน"

มีเงินมากแล้วก็ทุกข์อีก กลัวคนจะมาขโมย กลัวจะเสีย กลัวจะหาย

มีเงินมากแล้วก็ไม่ได้ถือศีล ภาวนาอีก ก็เพราะคิดว่าเราทำทานเยอะแล้วดีแล้ว

มีเงินมากแล้วก็ท้อแท้ หาว่าทำดีไม่ได้ดี เพราะว่าทำทานกับคนอื่นมาก ไม่เห็นได้ความดีมาตอบแทน

เงินจึงเป็นเครื่องปิดกั้น "สติปัญญา" มีเงินมาก ใช้เงินซื้อความรู้มากกลับทำให้ตัวเองรู้น้อย รู้เรื่องตนเองน้อย รู้เรื่องคนอื่นมาก

คนไม่มีเงิน ใช้ตนเองแลกกับความรู้จึงรู้มาก รู้เรื่องตนเองมาก

รู้จักตนเอง ก็รู้จักอยู่กับตนเองอย่างเป็นสุข เมื่ออยู่กับตนเองอย่างเป็นสุขแล้ว อยู่ใกล้ ๆ ใครก็ไม่มีความทุกข์

คนที่เรียนรู้แต่คนอื่นก็เรียนรู้ไปเรื่อย ไปอยู่กับใครก็มีปัญหา เพราะจ้องจะไปเรียนรู้แต่เขา จ้องแต่จะปรับ จะเปลี่ยนเขา

แต่เราไม่รู้จักเรา เราไม่สามารถปรับ ไม่สามารถเปลี่ยนตัว เปลี่ยนตนของเรา

พอเกิดอะไรนิด อะไรหน่อย ก็ใช้เงินตัดสินกันแล้ว

พอไม่เข้าใจอะไรกันหน่อย ก็ทวงเงิน ทวงบุญคุณกันแล้ว

มีเงินมากปัญหาก็มาก งานเยอะ เงินเยอะ ปิดเส้นทางแห่ง "ความสงบ"

เงินกับความสงบจึงอยู่ตรงกันข้าม

เงินไม่สามารถซื้อความสงบ

มีเงินมากจึงอยู่ห่างจากความสงบมาก

เงินเหรอที่ให้ความสุข

ความสุขอื่นใดที่เหนือจากความ "สงบ" นั้นไม่มี...

ทำเป็นหัวเราะไปนะเจ้าคะ....

แหม...ก่อนที่เราจะนำพาใครได้เราต้องทดลองทำ ทดลองไปก่อน...

จะได้บอกได้สอนว่า...อืม...อย่าทานเลยปาท่องโก่น่ะ... ทานแล้วจะเป็นเช่นไร ก็จะได้บอกอาการคนอื่นได้ถูก...ทานแล้วรู้เลย รู้ว่ารสชาติการทานเป็นอย่างไร ขณะทานใจเรานั้นเป็นอย่างไร... ความนึกคิดเราเป็นอย่างไร...

ยอมทดลองกับตนเองก่อนน่ะ...จะได้บอกได้แนะนำใครให้ได้ซึ้งลงไปในใจ

น่า..ใจไม่สุขและไม่ทุกข์ไม่หลงไปในอารมณ์อร่อยของเจ๊หม่วยนี่ก็อะนะ...

เมื่อวานนี้ก็ได้โอกาสสนทนา...กับสมาชิกนักปั่น

ด้วยความแสนเสียดายที่เธอไม่สามารถไปน้อมกราบผืนแผ่นดินนั้นได้

แต่ได้รับทราบความพากเพียรแหงความศรัทธาที่มีต่อเส้นทางก็ชื่นช่ำใจ เพราะยังมีคนหลงเหลือความศรัทธาในใจนี้อยู่...

อ้อ.. ทานปาท่องโก๋ไปด้วยเหตุผลนี้นี่เอง ยอมเสี่ยงถึง ๓ พุทธันดรเลยนะนั่น น่านับถือ น่านับถือ "ไม่ธรรมดา..."

ไม่เป็นไร อยู่ที่ไหนก็ทำความดีได้ เดี๋ยวถึงเวลามาได้ ใครจะไปห้ามไม่ให้มา อย่างไงเขาก็ต้องมา...

ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าชมรมนักปั่นมีกี่คน นับไม่ถูก (เหมือนมีเยอะเลยเน๊อะ) ถ้าอย่างไรฝากนับด้วยนะ...

ตอนวันกฐินที่วังน้ำเขียวค่อยว่ากันใหม่ วันนั้นเตรียมให้พร้อมเชียว ไม่รู้โยมม่วยจะมาออกโรงทานด้วยหรือเปล่า

แต่ถ้ามาคราวนี้กินได้เต็มที่ เพราะเขาเอามาแจกอยู่แล้ว

 

P
Ka-Poom
เมื่อ พฤ. 08 ต.ค. 2552 @ 20:08
#1598101 [ ลบ ]

ช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ หาข้อมูลไปในตัวอยากทราบอย่างแน่ในใจว่าพอมีเหตุมีผล...

วันนี้ได้เรื่องทั้งสองเรื่องเลย ทั้งเรื่อง การตรวจเลือดและเรื่องเมเปิ้ล ไซรัป

สำหรับการตรวจเลือดนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์แนะนำว่า ... ผลเลือดไม่น่าจะมีผลสำหรับคนปกติ จะตรวจก่อนและหลังในคนที่ไม่ได้ป่วยอะไร ค่าผลเลือดก็จะออกมาเป็นปกติอยู่แล้ว... แต่ถ้าหากลองในคนที่ป่วยนี่สิ น่าคิด ... ก็ต้องเลือกตรวจในค่าที่สอดคล้องกับสภาวะที่เขาเจ็บป่วย...

ในส่วนของเรื่อง เมเปิ้ลไซรัป นี่ได้เรื่องเลย ถามต้นตอจากผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชเวทโดยตรงเลย... ท่านบอกว่ามันเป็นมันตาลซูโครสที่ได้มาจากต้นเมเปิ้ล ไม่มีองค์ประกอบอะไรที่จะทำให้เซลล์หายได้ แต่น่าจะให้ในเรื่องของพลังงานมากกว่า เพราะเราใช้ร่วมกับการอดอาหารตั้งสิบสี่วัน... เซลล์ที่หดหายน่าจะมาจากการที่ไม่ได้อาหารมากกว่า ในส่วนที่สิ่งแทนได้ ท่านแนะนำว่าก็ใช้น้ำตาลทรายแทนได้ หรือซูเครน ไซรัปได้(ไม่แน่ใจนะคะฟังไม่ชัด)... ไม่มีอะไรพิสดาล สูตรที่ได้มาหากพิจารณาจากส่วนผสมน่าจะเป็นสูตรที่ได้มาจากแถบอเมริกา...นะ...

ช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ หาข้อมูลไปในตัวอยากทราบอย่างแน่ในใจว่าพอมีเหตุมีผล...

วันนี้ได้เรื่องทั้งสองเรื่องเลย ทั้งเรื่อง การตรวจเลือดและเรื่องเมเปิ้ล ไซรัป

สำหรับการตรวจเลือดนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์แนะนำว่า ... ผลเลือดไม่น่าจะมีผลสำหรับคนปกติ จะตรวจก่อนและหลังในคนที่ไม่ได้ป่วยอะไร ค่าผลเลือดก็จะออกมาเป็นปกติอยู่แล้ว... แต่ถ้าหากลองในคนที่ป่วยนี่สิ น่าคิด ... ก็ต้องเลือกตรวจในค่าที่สอดคล้องกับสภาวะที่เขาเจ็บป่วย...

ในส่วนของเรื่อง เมเปิ้ลไซรัป นี่ได้เรื่องเลย ถามต้นตอจากผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชเวทโดยตรงเลย... ท่านบอกว่ามันเป็นมันตาลซูโครสที่ได้มาจากต้นเมเปิ้ล ไม่มีองค์ประกอบอะไรที่จะทำให้เซลล์หายได้ แต่น่าจะให้ในเรื่องของพลังงานมากกว่า เพราะเราใช้ร่วมกับการอดอาหารตั้งสิบสี่วัน... เซลล์ที่หดหายน่าจะมาจากการที่ไม่ได้อาหารมากกว่า ในส่วนที่สิ่งแทนได้ ท่านแนะนำว่าก็ใช้น้ำตาลทรายแทนได้ หรือซูเครน ไซรัปได้(ไม่แน่ใจนะคะฟังไม่ชัด)... ไม่มีอะไรพิสดาล สูตรที่ได้มาหากพิจารณาจากส่วนผสมน่าจะเป็นสูตรที่ได้มาจากแถบอเมริกา...นะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท