แต่ในความเป็นจริง เพื่อความไม่ประมาท คนสูงอายุต้องกลับมาทบทวน แนวคิดเก่าๆตามประเพณีวัฒนธรรมของเรา ว่า ถ้าจะให้ลูกหลานเลี้ยงเมื่อแก่ตัวลง ต่อไปอาจจะไม่ได้อย่างหวัง บางที เกษียณแล้ว ก็ยังหยุดทำงานไม่ได้อย่างที่คิดไว้ค่ะ
ประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมผู้สูงอายุไปเสียแล้ว ในปี 2549 มีผู้มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปถึง 10.64% หรือประมาณ 6.5 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 13.4% . ในปี 2568 คิดเป็น ประชากร 10 ล้านคน และพร้อมๆกันนี้ จากการวิเคราะห์ทางการตลาด ประชากรกลุ่มนี้ บางส่วนก็จะมี พฤติกรรม และความต้องการ ที่เปลี่ยนไปด้วย
เมื่อถึงวันที่ 30 กันยายน ของทุกปี หลายๆหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนบางแห่ง จะมีการจัดงาน อำลาอาลัย ผู้ใหญ่ที่ถึงกำหนดต้องเกษียณอายุไป โอกาสนี้ ผู้สูงอายุก็จะได้พักผ่อนหลังจากตรากตรำทำงานมาจนถึงอายุ 60 ปี และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ไฟแรงได้มาทำหน้าที่แทน
สำหรับผู้สูงอายุจำนวนมาก ที่ต้องเกษียณอายุไปในปีนี้ มีความรู้สึกว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคในด้านการใช้ชีวิตปกติหรือการทำงานเลย โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูงและมีความสามารถหลายด้าน ยังสามารถที่จะทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อีกมากมาย
ผลการศึกษาวิจัยกลุ่มคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปของ บริษัทโอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ประเทศไทย บริษัททางด้านการตลาด ที่วิจัยครอบคลุมเกี่ยวกับทัศนคติ วิถีชีวิต ความคาดหวัง และพฤติกรรมการซื้อสินค้า (ข้อมูลจากการเผยแพร่ของบริษัทโอกิลวี่ช่วงต้นปี 2550) โดยเก็บข้อมูลแบบ face to face กับกลุ่มคนอายุ 50-65 มีรายได้70,0000-200,0000 บาท/ เดือนซึ่งมีประมาณ ร้อยละ 10 ของประชากรในวัย 50 ปี ทั้งหมด
ดร.อัญชลี พิชญางกูร ผู้อำนววยการฝ่ายวิจัย ของบริษัทดังกล่าว กล่าวว่า......ประเทศต่างๆทั่วโลกกำลังจะก้าวเป็นสังคมผู้สูงอายุ เช่น ในประเทศอังกฤษ ครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด อายุ50 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น สำหรับในประเทศไทย มีคนกลุ่มนี้ 14 ล้านคน หรือคือ 20% ของประชากรทั้งประเทศ และกำลังจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนเหล่านี้ บางส่วน มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แทนที่จะมีชีวิตอยู่นิ่งๆ ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆด้วยความประหยัด แต่ปรากฏว่า พวกเขายังมีความสุขกับชีวิตดี กระตือรือร้นในการจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ชอบการท่องเที่ยว และชอบใช้เทคโนโลยี่ใหม่ๆพร้อมๆกับจะดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น หวังว่า อยากจะมีอายุยืนกว่า 80 ปี ดังนั้น สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จึงมีศักยภาพสูงในด้านการตลาด
ผลสรุปการวิจัยที่น่าสนใจ::
· ส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีกับการมีอายุมากขึ้น
· 80% เห็นว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข และ 61% เห็นว่า ชีวิตเริ่มต้นที่อายุ 50 ปี แถมส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัวเอง มีอายุน้อยกว่าอายุจริง 10-15 ปีและยังอยากอายุยืนมากกว่า 80 ปีขึ้นไป
· สิ่งที่อยากทำหลังเกษียณ คือ ต้องการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น อยากไปเที่ยวในที่ๆยังไม่เคยไป และ 70% อยากอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น มีเพียง 22% ที่อยากทำงานประจำต่อไป
· สิ่งที่กังวลคือ การเจ็บป่วย การช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งลูกหลาน ความไม่มั่นคงทางการเงิน และความเหงา แต่มีแค่ 12%ที่กังวลเกี่ยวกับความตาย
· ส่วนใหญ่คนอายุ 50 ปี มักจะมีการวางแผนชีวิตมาแล้วอย่างดี ประมาณ 40%อยากเกษียณก่อนอายุ 60ปี มีแค่ 30% อยากเกษียณตอนอายุ 60 และ มักเป็นเจ้าของธุรกิจเอง
· ส่วนใหญ่ออมเงินโดยฝากธนาคาร 90% ซื้อประกันชีวิต 58%
· การลงทุนมักซื้ออสังหาริมทรัพย์ 49.5% ซื้อทอง 29% ซื้อหุ้น 16% และไม่ลงทุนเลย 30%
· กิจกรรมยามว่าง...พบว่า ผู้ชายดูทีวีและออกกำลังมากกว่า แต่ผู้หญิง ไปวัด ทานอาหารนอกบ้าน เสริมสวยและช้อปปิ้งมากว่า
· อายุขัยเฉลี่ย ชาย 68 หญิง 75 เฉลี่ย 71 ต่ำกว่าที่ยุโรป ซึ่งเฉลี่ย 80 ปี
· คนกลุ่มนี้มักวางแผนอนาคตให้ลูกหลานในด้านการศึกษา บ้านที่ดิน และเงินฝาก และ 60% คาดหวังว่าลูกๆจะดูแลตอนแก่
· ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน 691,547 คน ที่จนและถูกทอดทิ้งอีก 27,413 คน ขณะที่สถานสงเคราะห์ผู้สูงวัย มี 20 แห่ง รองรับผู้ชราได้ 2,285 คน.....(ตั้งมา52ปี)
(ข้อมูลนี้จากการประกวดบ้านน่าอยู่ ผู้สูงวัย-สานสองวัย 16 มี.ค.2550 อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างงาน สมาร์ทแอนด์แฮปปี้ 50+)
สำหรับดิฉันเอง มีข้อสังเกตว่า คนวัย 50-60ปี สนใจการเมืองยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งเคยเป็นเด็กสมัย 14 ตุลา 2516 และ เกิดจากการรวมกลุ่มกับคนใกล้ชิดสนิทสนม บางกลุ่มมีทรัพยากรพอที่จะนำมาใช้ในการนี้ด้วย ไม่นานนี้ เราก็ได้เห็นแล้ว ว่าคนอายุ 60ปี ไปชุมนุมประท้วงกัน เพราะมีความไม่ชอบในตัวคนๆเดียวกัน
อันนี้ เป็นมิติใหม่ของผู้อาวุโสไทยเลยค่ะ
เมื่อผลการศึกษาวิจัยออกมาอย่างนี้แล้ว(จริงๆมีมากกว่านี้ แต่ดิฉันสรุปมาให้ย่อๆ) เทรนด์ธุรกิจยอดนิยม น่าจะเป็นดังตัวอย่างต่อไปนี้....
· ธุรกิจที่ให้บริการความสะดวกสบายต่างๆถึงบ้าน เช่น การทำความสะอาดบ้าน อาหารส่งถึงบ้าน งานสวน ผู้ช่วยพยาบาล มาช่วยดูแลเล็กๆน้อยๆ หรืออยู่เป็นเพื่อน เพราะผู้สูงอายุไม่น้อย มีโรคประจำตัว แต่เป็นโรคที่ควบคุมได้ เป็นต้น
· เครดิตการ์ดต่าง ๆ สำหรับคนอายุ 50 ขึ้น เช่นบัตร เคทีซี-ซีเนียร์ วีซ่าของธนาคารกรุงไทย
· ค่าเข้าชมหรือค่าธรรมนียม ลดพิเศษ เช่น ที่พิพิทธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เป็นต้น หรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
· อุปกรณ์สื่อสาร เช่นโทรศัพท์มือถือ ที่ญี่ปุ่น ลูกค้ากลุ่มใหญ่ คือวัยรุ่น กับผู้สูงอายุ
· ธุรกิจประกันสุขภาพ โดยกระตุ้นให้ลูกกตัญญูมาทำให้ ซึ่งธุรกิจนี้ไปได้ เพราะคงจะมีลูกกตัญญูในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย
-
ธุรกิจออมเงินระยะยาวควบกับประกันสุขภาพ ซึ่งเสมือนเป็นการวางแผนมรดกอย่างหนึ่งให้ลูกหลาน ไม่เสียภาษีและไม่ต้องมีการฟ้องร้องแย่งชิงมรดกแต่อย่างใด เนื่องจากระบุชื่อผู้ได้รับผลประโยชน์ชัดเจน
ที่กล่าว มาทั้งหมด เป็นแค่ภาพรวมทั่วๆไปจากการศึกษาวิจัย สำหรับแนวโน้มใหม่ๆในด้านธุรกิจ
แต่ในความเป็นจริง เพื่อความไม่ประมาท
คนสูงอายุต้องกลับมาทบทวน แนวคิดเก่าๆตามประเพณีวัฒนธรรมของเรา ว่า ถ้าจะให้ลูกหลานเลี้ยงเมื่อแก่ตัวลง
ต่อไปอาจจะไม่ได้อย่างหวัง เพราะด้วยขนาดครอบครัวที่เล็กลง สายสัมพันธ์ครอบครัวที่เบาบางลง การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของลูกๆหลานๆ
ซึ่งต่อไป จะเข้าลักษณะ ที่ผู้สูงอายุต้องดูแลตัวเอง โดยใช้เงินออมของตัวเองนั่นเอง ถ้าเงินออมไม่พอ ก็ต้องหาทางหารายได้ให้ตัวเอง ดังนั้น บางที เกษียณแล้ว ก็ยังหยุดทำงานไม่ได้อย่างที่คิดไว้ค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก รายงาน โครงการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ต่อเนื่องสำหรับผู้สูงวัย: ศาสตร์แห่งชีวิตเพื่อการสูงวัยอย่างมีคุณภาพ
จัดทำโดย:ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2550