เมื่อถูก tag จากคุณติ๋ว นาง กฤษณา สำเร็จ ในบันทึก Tag คิด(ไม่)ถึง ...นักวิชาการอารมณ์ดี ที่มีสายสาแหรกจาก บันทึกนี้ และ บันทึกนี้ ก็มาคิดว่า เออ..แล้วเราเคย คิด(ไม่)ถึงเรื่องของท่านใดบ้าง...ไม่ค่อยมีนะคะ คุณติ๋ว....แล้วจะเขียนได้ไหมเนี่ย 555
แต่ก็มีบันทึกจำนวนไม่น้อยค่ะที่ดึงดูดให้เข้าไปอ่านและที่จะคิด(ไม่)ถึง คือบันทึกเหล่านั้นได้เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นว่ามีสิ่งดีๆ มากมายเกิดขึ้นรอบๆตัวเรา...อย่างเช่น....บันทึกของท่านนี้ และ ท่านนี้ รวมทั้งของ ท่านนี้ ที่สอดแทรกปรัชญาการใช้ชีวิตที่ดีงามเสมอๆ
สำหรับบันทึก tag คิด(ไม่)ถึง นี้อยากแนะนำบันทึกตัวอย่างที่ทำให้ได้สัมผัสความรักที่ผ่านตัวอักษร..จนคิด(ไม่)ถึงว่าจะพาให้ใจอ่อนยวบเต็มตื้นได้เสมอๆ ค่ะ
บันทึกของคุณครูท่านนี้ ทำให้ได้สัมผัสโลกที่น่ารักของเด็กๆและคุณครู ในบล็อก เก็บตกจากการสอน ...มีความรักอวลวนระหว่างครูและลูกศิษย์ตัวน้อยๆ อ่านแล้วมีความสุขทุกครั้งค่ะ....
วัยเด็กมีความหมายสำหรับทุกๆคน..จริงไหมคะ....แม้แต่ Tyler Perry.ที่บอกวิธีให้อภัยคนที่ทำร้ายเราหรือทำให้เราโกรธ ก็ยังแนะนำวิธีหนึ่งว่า...
... imagine your tormentors as they were when they were babies or young children. ...Babies are not born with a distinct desire to hurt others physically or emotionally. They are born craving love and protection. Visualize what your tormentors were like when they did nothing but crave love and protection..... you may come to a point where it becomes clear that their hurtful acts as older children or adults stem from their own wounds, from their own emotional memories of being hurt and/or neglected.
ลองนึกภาพผู้ที่ทรมานเราเมื่อเขาเยาว์วัย ...เด็กๆ ไม่ได้เกิดมาเพื่อคิดจะทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ...เขาเกิดมาอย่างกระหายความรักและการปกป้อง..ลองนึกภาพคนเหล่านั้นที่กำลังกระหายความรักและการปกป้อง...คุณอาจจะเข้าใจชัดเจนขึ้นว่าสิ่งที่เขาทำร้ายคุณนั้นเกิดจากบาดแผลที่เขาเคยได้รับ จากความเจ็บปวดที่เขาจดจำและ/หรือจากการเคยถูกทอดทิ้งมาก่อน
เป็นอย่างไรบ้างคะ.....อ่านคำของ Tyler Perry แล้วอยากให้เด็กทุกคนได้รับความรักและการปกป้อง......อย่างที่คุณครูตุ๊กแก ได้ถ่ายทอดให้เราได้อ่านนะคะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เดิมตั้งใจจะเขียนถึงท่านเดียว..แต่คิดว่า อยากเติมอีกนิดเพื่อจะได้รู้จักกันอีกหน่อยว่า ความเป็นจริงแล้ว..ตัวเองไม่ได้เป็นนักวิชาการสักเท่าไหร่ ชอบอ่านนิยายมากกว่าค่ะ....และนิยายโรแมนติกก็เป็นตัวเลือกซะด้วย....^^
และเมื่ออ่านนิยายมากๆ ก็จะพบว่า บทกวีที่ไพเราะที่สุดคือบทกวียามคนรักอยู่ไกลกัน
บันทึกที่หวานเจียนหยด ของท่านคนนี้ จากบล็อก ร้อยเรียงเรื่องที่ผ่านพบ ที่ลำนำเรียงร้อยเรื่องเพื่อถ่ายทอดให้กับ "คนของหัวใจ" คงเป็นตัวอย่างของความไพเราะที่สุดนั้นได้อย่างชัดเจนนะคะ
เริ่มต้นอ่านเพราะอยากอ่านเรื่องโรแมนติกค่ะ..และก็พบว่าบนความโรแมนติกนั้น...ท่านได้นำผู้อ่านไปเที่ยววัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องและสร้างความอยากรู้การใช้ชีวิตของคนในประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างยอดเยี่ยมเลยค่ะ แถมยังทำให้เกิดความสุขปนลุ้นต่อความหวานที่ตกผลึกไปซะทุกตัวอักษรที่ฉายอานุภาพของความรักข้ามประเทศ...
(เมื่อไหร่บทพระเอกเจอนางเอกจะออกฉากซะที..รออ่านค่ะ....อิอิ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีบันทึกที่คิด(ไม่)ถึงจำนวนมากมาย ที่ได้แทรกเข้าไปให้ใจอ่อนละมุนลงและมีความสุขเหมือนตัวอย่างที่ยกมาข้างบนนี้ บันทึกเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่บน gotoknow เหมือนหมู่ดาวที่เรียงรายในยามค่ำคืน ...
การอ่านบันทึกที่งดงาม สำหรับตัวเองก็คล้ายๆกับการได้แหงนมองดาวดวงที่สวยงามบนท้องฟ้า กว่าดาวจะกระพริบสักครั้งอาจจะใช้เวลานาน ขณะที่คนดูเพลิดเพลินกับแสงระยิบนั้นชั่วขณะ อาจจะคล้ายๆกับบันทึกที่เรียงร้อยและงดงามนั้น ที่ท่านเจ้าของบันทึกก็อาจจะใช้เวลานานกว่าจะกลั่นและคัดสรรคำอยู่นานเช่นกัน.....และสุดท้ายความงามของดวงดาวกับความงามของบันทึกก็ตรึงในความรู้สึก....คล้ายกัน
บันทึกอันงดงามเหล่านั้นหากยกมารวมไว้ที่นี่ก็คงจะไม่หมด....แต่ก็อยากจะเอ่ยคำขอบคุณทุกๆท่านที่ได้บันทึกให้เห็นความดีงามอีกมากมายที่เกิดขึ้นบนชีวิตประจำวัน...บนความจริงของการมีชีวิต.....
ขอบคุณค่ะ