สวัสดีครับ คุณสมพร
กรุงปารีส ปี 1900 La Belle Epoque คุณพ่อคนหนึ่ง เดินเข้าไปหานักจิตวิทยาผู้ฉลาดเฉลียวท่านหนึ่งชื่อ Alfred Binet ถามว่า "ท่านครับ ผมและครอบครัว เพิ่มย้ายจากบ้านนอกมาเข้าเมือง ลูกๆกำลังเดือดร้อนเรื่องการเรียน เรื่องการบ้าน ท่านพอจะมีเครื่องมืออะไรไหมครับ ที่จะบอกได้ว่าเด็กคนไหนจะประสบความสำเร็จ คนไหนจะสอบตก ในโรงเรียนที่ปารีสนี่?"
และอย่างที่ประจักษ์ในปัจจุบัน Binet ทำสำเร็จ ต่อมาเครื่องมือของ BINET ก็ถูกเรียกว่า "The Intelligence Test" สิ่งที่เขาวัด IQ หรือ intelligence quotience คือ อายุสมองหารด้วยอายุจริงคูณด้วย 100 นั่นก็คือคนธรรมดาที่อายุสมองเท่ากับอายุจริงก็จะมี IQ 100
และก็เหมือนๆกับทกอย่งที่เป็นแฟชันปารีส ก็ได้ระบาดไปอเมริกา บูมเต็มที่ตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง WWI ที่ใช้ทดสอบทหารเกณฑ์ จากการที่อเมริกาชนะสงคราม Binet's IQ test ก็เกิดขึ้นเต็มตัว (ประวัติรายละเอียดพิศดาร ผมจะเอาไปเล่าใน blog ผมเองก็แล้วกัน)
IQ TEST ไว้ใช้พยากรณ์ว่าใคร "เก่ง" หรือ "ไม่เก่ง" ทดสอบสองพิสัยของ mental ability คือ "ภาษา (linguistic)" และ "คำนวณ/ตรรกะ (mathematic/logistic)" เท่านั้น ใครคิด คำนวณ มีเหตุผล ภาษาดี ก็จะประสบความสำเร็จ (หรือสอบผ่าน)
Idea ที่ว่านี้น่าฉงนฉงาย และรบกวนจิตใจของ Howard Gardner มาก จนในที่สุด ปี 1983 เขาก็เขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งหลังการทำวิจัยศึกษามาเป็นสิบปี คือ Frame of Minds, The Theory of Multiple Intelligences มีอะไรบ้างนั้น หมอเบิร์ดได้เขียนไว้ใน blog เธอแล้ว คร่าวๆก็คือ ความเก่งนั้น มีมากกว่า IQ test บอกไว้ มากกว่าเยอะด้วย
เผอิญในระบบการศึกษาเก่า คนที่ก้าวมาเป็นครู และไม่ได้ศึกษาเรื่องศึกษาศาสตร์ต่อ (ซึ่งเป็น practice ปกติทุกวันนี้ ก็คือ คนเป็นครูต่อ อาจจะจบวิชาชีพเฉพาะมาเท่านั้น เรียน education ต่อนิดเดียว ทั้งๆที่ศาสตร์ของการเรียนรู้ cognitive psychology หรือ cognition นั้น ก้าวหน้าไปเยอะแล้ว) ก็เก่งสองอย่างนี้เหมือนกัน คือ linguistic พูดกันไฟแลบ คิด คำนวณ เปี่ยมเหตุผล mathematic/logistic
ถ้าเด็กคนไหน ไม่เก่ง สองพิสัยนี้ ก็จะไม่ใช่ sugar student ไม่ใช่เด็กที่น่ารัก เด็กที่น่าสอน เป็นตัวเจ้าปัญหา บางคนตราไปเป็น slow learner หรือ learning difficulties ไปเลย
ทฤษฎี multiple intelligence นี้ ว่าคนเรามี ความถนัด ไม่เหมือนกัน และหลากหลายมิติ ถ้าเพียงแต่เราค้นพบ (และหน้าที่เป็นของครู หรือนักการศึกษา) ว่าเขาถนัดเรื่องอะไร ส่งเสริมไปทางนั้น ชีวิตของเด็กส่วนใหญ่ก็จะงอกงาม ตาม what it's meant to be
ตั้งแต่หนังสือเล่มนี้ออกมา คนที่ชื่นชมมาก ไม่ใช้ psychologist กลับกลายเป็นนักการศึกษา
There is no such a thing like students who fail, there is only school or teacher who fail students
ไม่มีอีกแล้วสำหรับนักเรียนที่ล้มเหลว มีแต่โรงเรียนหรือครูที่ทำให้เด็กล้มเหลว
ผมคิดว่าความรับผิดชอบของระบบการศึกษา ประเภทฟันธง ประเภทชอบ label ตีตรา ตัดสินคุณค่าของคนอื่นโดย value based on self นั้น เป็นตัวทำให้เกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้
ประเทศจะเจิรญรุ่งเรื่อง ต้องอาศัยหลายมิติของประชาชน ช่างฝีมือ นักกีฬา นักคิด นักคำนวณ นักสื่อสาร ครูจิตวิญญาณ นักสังคม
ทั้งหมดต้องมี "พื้นที่เจริญเติบโต" ก่อนจะมาเป็นนักอะไรต่อมิอะไร
การทำให้สังคมมองหา อัจฉริยภาพของลูก ของเด็ก เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนจะไป ตีตรา เด็กว่าโง่ ว่าไม่เก่ง จาก test อะไรที่มีอายุนับร้อยปี มองไปรอบตัว คนเราทุกคน มีอะไรดีๆของคนๆนั้นเสมอ ว่าแต่สังคมเปิดพื้นที่ให้เขาได้ภาคภูมิใจในตัวเขาสักกี่มากน้อย หรือว่ากดขี่ว่าเป็น skill ที่ไม่เชิดหน้าชูตา?