อันเหตุการณ์บ้านเมือง ณ ปัจจุบัน มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหลายความเชื่อ ซึ่งไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านของเรา คือ "กัมพูชา" หรือที่คนไทยเรียก "เขมร" ที่เคยเกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2518 - 2522 รวม 3 ปี 8 เดือน กับ 20 วัน จากนั้นก็อยู่ภายใต้การครอบครองของเวียดนามอีกเป็นเวลา 13 ปี (พ.ศ.2522 - 2535)
ผมติดตามอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เขมรมาหลายเล่ม โดยมักชอบเน้นการอ่านในกรณี "สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ของเขมรแดงอันน่าสะพรึงกลัว หรือยิ่งดูภาพยนตร์ The Killing Field ที่ได้รางวัลออสการ์หลายสาขานั้น ทำให้ยิ่งคิดถึงว่า ประเทศไทยอย่าได้เกิดเหตุแบบนี้เลย
จริง ๆ ผมอยากใช้เวลาค้นคว้าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ "สงครามในเขมร" จากหนังสือหลาย ๆ เล่ม เพียงแต่ว่า แต่ละเล่มค่อนข้างหนาและยาวหลายร้อยหน้า จึงยังอ่านไม่จบ
แต่มีเล่มหนึ่งที่ผมอ่านจบแล้ว คือ "บันทึกความทรงจำ กัมพูชากับสงครามล้างเผ่าพันธุ์และศูนย์อพยพในประเทศไทย" เขียนโดย ปะแดงมหาบุญเรือง คัชมาย์
ผู้เขียนได้เขียนประเด็นสรุปไว้ไม่ยาวนัก ผู้อ่านสามารถเข้าใจความเป็นมาได้ในระดับหนึ่ง แต่อยากบอกท่านว่า น่าสะพรึงกลัว เหมือนเดิม
เมื่อคนไทยหลายคนตะโกนว่า รักชาติ อยากได้ประชาธิปไตย แต่กลับมีอคติไม่ทำความเข้าใจกับคนที่มีแนวคิดอื่น ๆ บ้าง คิดแต่ว่าตัวเองถูก แล้วก็เกิดการต่อสู้ จราจล นองเลือดกันอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นในเมืองพุทธแห่งนี้
สมควรที่ท่านควรหันศีรษะไปมอง "เขมร" ดูว่า จุดเริ่มต้นก่อนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามกลางเมืองที่มีต่อมาอีกหลายสิบปี ดั่งประเทศที่ถูกสาปมันเป็นอย่างไร
ทำไมเขมรมี "สี่ฝ่าย" ... แต่ละฝ่ายคล้ายบ้านเมืองเรา ณ ปัจจุบันไหม ควรศึกษาครับ
ดังนั้น ผมอยากกร่อนคำ ถอดความ โดยเริ่มต้นจากหนังสือเล่มนี้เป็นหลัก แต่จะเสริมด้วยเล่มอื่น ๆ เพื่อใช้ทบทวนประวัติศาสตร์ที่ไม่อยากให้เกิดที่ประเทศเรา ซึ่งอาจจะใช้บันทึกหลายบันทึก แต่พยายามจะกร่อนคำ ถอดความให้สั้นที่สุด ครับ
หลังจากประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2496 (เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส 90 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2406 - 2496) ... สมเด็จนโรดมสีหนุ ราชวงศ์ฝ่ายนโรดม ได้ขึ้นครองราชย์โดยการสนับสนุนของฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ.2483
ระยะเวลานั้น บ้านเมืองระส่ำระสาย มีภัยทั้งในประเทศและนอกประเทศ อีกทั้งเวียดนาม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อชาวเขมร ที่ชาวเขมรเรียกว่า "ศัตรูตลอดชาติ" ได้ปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์โฮจิมินห์ เพื่อจะครอบครองประเทศกัมพูชา
สมเด็จนโรดมสีหนุ ตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยพระองค์เอง
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2498 สมเด็จนโรดมสีหนุ ทรงสละราชสมบัติ และถวายแก่พระราชบิดา คือ สมเด็จนโรดมสุรามฤทธิ์
มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น ชื่อว่า "พรรคสังคมราษฎร์นิยม" ... แต่ก่อนหน้านั้นมีความพยายามโค่นล้มราชวงศ์นโรดม เพื่อให้ราชวงศ์ศรีสวัสดิ์ขึ้นแทน
สมเด็จนโรดม พยายามแสวงหาความร่วมมือจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนแผ่นดินใหญ่ และคิวบา ... ในระยะแรก พระองค์ได้วางแผนพัฒนาประเทศ เรียกว่า "แผนพัฒนาประเทศ 5 ปี" ออก พรบ.ปราบปรามลงโทษข้าราชการผู้ฉ้อโกงราษฎร์บังหลวง ที่เขมร เรียกว่า "สีสำโนก"
มีการออกระเบียบต่าง ๆ มากมาย ทำให้ทรงมีศัตรูรอบข้าง ... ทรงพัฒนาประเทศ เช่น การศึกษา, สาธารณสุข, การเกษตร, อุตสาหกรรม
สมเด็จนโรดมสีหนุ ทรงเป็นนักการฑูตที่เก่งกาจทีเดียว ทรงพยายามดำรงความเป็นกลางในสมัยนั้น (ทั้ง ๆ ที่เอียงซ้ายหน่อย ๆ)
ในการประชุมสันนิษบาตสมัชชาแห่งชาติ ณ กรุงพนมเปญ ปี พ.ศ.2504 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งถึงเหตุผลที่พระองค์ดำเนินนโยบายความเป็นกลาง ตอนหนึ่งว่า
"...ประการสำคัญคือ ระหว่างประเทศเรากับประเทศจีน ข้าพเจ้าได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ถ้าเราจะละทิ้งความเป็นกลาง แล้วไปเข้ากับประเทศตะวันตก เช่น ประเทศไทย เป็นต้น ประชาชนของเรา ประเทศของเราจะมีความสงบสุขหรือไม่ พิจารณาไตร่ตรองอย่างดีแล้ว ได้คำตอบอย่างเดียวคือ "ไม่" เพราะเกรงว่าจะนำไปสู่ความพินาศ..."
แนวนโยบายนี้ เรียกว่า "ความเป็นกลางทางลัทธิชาตินิยม"
ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้น เป็นช่วงการครองอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ที่เดินขวาจัดเข้าข้างสหรัฐอเมริกา ต่อต้านคอมมิวนิสต์
...................................................................................................................................
ความคิดเห็นส่วนตัว...
เป็นตอนที่เล่าถึง ความเป็นมา หลังจากเขมรได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส จนถึง พ.ศ.2504 ... แสดงภาพถึง ปัญหาคอรัปชั่นของข้าราชการ เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนเริ่มแตกแยก นอกประเทศ เวียดนามก็พยายามแพร่ขยายอิทธิพล
โปรดติดตามในบันทึกต่อไปนะครับ
ขอบคุณครับ :)
...................................................................................................................................
บันทึกที่เกี่ยวข้อง
แหล่งอ้างอิง
ปะแดง มหาบุญเรือง คัชมาย์. บันทึกความทรงจำ กัมพูชากับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และศูนย์อพยพในประเทศไทย. สุรินทร์: โรงพิมพ์รุ่งธนเกียรติออฟเซ็ท, 2543.
"..เมื่อคนไทยหลายคนตะโกนว่า รักชาติ อยากได้ประชาธิปไตย แต่กลับมีอคติไม่ทำความเข้าใจกับคนที่มีแนวคิดอื่น ๆ บ้าง คิดแต่ว่าตัวเองถูก แล้วก็เกิดการต่อสู้ จราจล นองเลือดกันอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นในเมืองพุทธแห่งนี้..."
มาติดตามอ่านอย่างเงียบๆและ สนใจเรื่องที่นำมาเสนอครับ
รออ่านบันทึกต่อไปครับ :)
ขอบคุณครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร :)
หากคนในชาติของเรายังคิดถึงแต่ความเชื่อของตัวเองที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ผิดหรือถูก เชื่อแต่ไม่วิเคราะห์ให้ดี เชื่ออย่างไม่น่าให้อภัย ... ไม่นานเราจะเดินตามรอยเขมร ... ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยต่อไป
ลองคิดถึงเหตุการณ์ "เผาสถานฑูตไทยในเขมร" ดูนะครับ ... คุณภาพคนของเขามีความบกพร่องทางความเชื่ออย่างไร ?
"...เพื่อจะครอบครองประเทศกัมพูชา" สมัยก่อน 50-60 ปีที่ผ่านมา มีแนวคิดของประเทศหนึ่งจะใช้กำลังเข้ายึดอีกประเทศหนึ่ง
วิเคราะห์จากอดีต ถามว่า "มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีแนวความคิดในอนาคต เกี่ยวกับการครอบครองประเทศอื่นที่มีทรัพยากรมากๆยังมีหรือไม่"
แนวคิดในการครอบครองในปัจจุบัน เน้นเข้าครองเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ครับ ... การใช้กำลังยึดพื้นที่ มีโอกาสถูกต่อต้านจากสหประชาชาติสูง ... ไม่งั้นก็ต้องปิดประเทศเหมือนเมียนมาร์ ... ไม่คบค้ากับใคร
ขอบคุณครับ คุณ visitor :)
สวัสดีค่ะ
อ.รู้จักกับอ.วรภัทร์ ใช่ไหมค่ะ
มีไทยแดง ไทยขาว และไทยเหลือง ต่อมามีไทยน้ำเงิน ครับ
เขมร 3 ฝ่าย ไทย 4 ฝ่าย
มิรู้จักท่านอาจารย์ ดร.วรภัทร เป็นการส่วนตัวเลยครับผม :)
ขอบคุณครับ คุณ berger0123 :)
ไทยมีเหนือกว่านะครับ คุณ นาย ธัญศักดิ์ ณ นคร :) ... ขอบคุณครับ
แวะมาอีกรอบค่ะ เอาดอกกระบองที่ออฟฟิศ มาฝากค่ะ
โห สวยครับ เลี้ยงอย่างไรจึงมีดอกขนาดนี้ครับ
ผมเลี้ยงตาแหกตาปลิ้น ไม่เคยเห็นดอกซักกะที
ขอบคุณครับ คุณ berger0123 :)
รออ่านบันทึกต่อไปค่ะ
ขอบคุณครับ คุณ ครูเอ ... ขออนุญาตสร้างอารมณ์ก่อนนะครับ :)
ย๊ากส์ ๆๆๆ
เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับชาติพันธ์มนุษย์เลย น่าสลดใจยิ่งนัก
ประวัติศาสตร์ยังคงซ้ำรอยอยู่เสมอครับ คุณ rattanajan ;)...
ขอบคุณมากครับ