คุณเม้ง --คุณ สมพร
ช่วยอารีย์ สุดยอดคนขยัน มีความคิดสร้างสรรค์ผุดออกมาอีกแล้ว
ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ต่อส่วนรวม โดยพยายามจะดึงเอา
บทความเก่าๆที่เป็นประโยชน์ออกมา
ให้ได้รับการคลิกอ่านใหม่
เพื่อเป็นประโยขน์ต่อไป
ดิฉัน ก็คิดว่า เป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะ
มีอยู่หลายๆครั้ง
ที่ต้องมาพลิกหาบทความดีๆ
ที่มีผู้เขียนบันทึกเขียนเอาไว้นานแล้ว
ขึ้นมาอ่านเหมือนกัน
และมีหลายครั้งที่ได้แนะนำไปให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ต่อไปด้วย
แต่จะมีความลำบากใจตรง ที่มีบันทึกที่ชื่นชอบมากเหลือเกิน
มากกว่าโควต้า 2-5 ท่านที่คุณเม้งบอกไว้
เอาละขอตัดใจแค่ 5 ท่านแล้วกันค่ะ
ท่านแรก
ดิฉันคิดถึง
คุณหมอสุธี สุดดี หรือหมอจิ้น ค่ะ
และประทับใจที่คุณหมอเขียนไว้ในประวัติว่า....เป็นหมอก็ต้องรักษาคนไข้ ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นผู้อำนวยการนานเข้า
บริบทจะบังคับให้เรา ไม่ได้เจอคนไข้อีกเลยในอนาคต
เลยลาออกจาก ผอ.ทุกปี จน
สสจ.เห็นหน้าก็รู้ว่ามาทำไม แต่ก็ต้องจำเป็น
ผอ.อยู่หลายปี
ด้วยจริต ดังกล่าว
ตอนนี้เลยมีความสุข มากกับงาน เวชศาสตร์ครอบครัว งาน
primary care
คุณหมอมีความสุขกับ การพัฒนาระบบบริการ
"ใกล้บ้านใกล้ใจ" หรือ
"บริการปฐมภูมิ (primary
care)"สนับสนุนการพึ่งพาตนเองในการดูแลสุขภาพของประชาชนเพื่อนำไปสู่ระบบที่มีความยั่งยืนและพึ่งตนเองได้ในอนาคต
ซึ่งเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่ง
คือเรียนรู้ประวัติชีวิตของกลุ่มคนที่รับผิดชอบ
ได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์และเข้าใจชีวิต
จนมีความรู้สึกว่า การที่ได้ใกล้ชิด
กับ การได้อยู่ในชุมชนที่มีความเกื้อกูล
เอื้ออาทรต่อกันเป็นสิ่งที่น่าชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้ง เมื่อได้อ่านเรื่อง
มูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ไต้หวัน
ก็นึกถึงงานของคุณหมอที่ได้เคยเขียนไว้ในบันทึกมากขึ้นค่ะ
ขอกล่าวถึงมูลนิธินี้เล็กน้อยค่ะ มูลนิธินี้ มีสมาชิกเป็นล้านคน
และมีอาสาสมัครเป็นแสนคน ที่ทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยประการต่างๆ เช่น
ช่วยบริบาลเด็ก คนสูงอายุ และ คนพิการเป็นต้น
มีโรงเรียนแพทย์และสถานีโทรทัศน์เป็นของตนเอง
ที่จะนำเอาความดีของผู้คนทั้งหลายมาเล่าให้กันฟัง
เหมือนดังที่ศ.นพ.ประเวศ วะสี
พูดไว้ว่า ความดีเยียวยาโลก (Heal the World)
ได้
บันทึกต่างๆ ดังกล่าว
มีสาระให้ความรู้ ในด้านการดุแลสุขภาพ
เน้นที่การป้องกันมากกว่า การรักษา
ครอบคลุมภารกิจมากกว่าการให้บริการด้านสุขภาพเท่านั้น
มีการบูรณาการแผนชุมชนทั้งสุขภาพกาย ใจ สังคม
สติปัญญาด้วย
ท่านที่สอง
ดิฉันคิดถึงคุณ
Conductorค่ะ
ในบล็อก คนเป็นนาย ซึ่ง
เขียนเรื่องตามประสบการณ์
และวิธีคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
โดยได้กล่าวไว้ว่า เขียนให้คิด
และไม่ได้ต้องการให้เชื่อ :: ในบล็อกนี้
มีหลายบันทึกมากที่น่าสนใจ
มีประเด็นที่ทันสมัย
ท้าทายให้คิดและติดตามหลายเรื่อง พร้อมวิธีการเขียนที่ไม่เหมือนใคร
ซึ่งในบางครั้ง ดิฉันเองก็คิดต่างออกไปเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น
บันทึกดีๆเรื่อง
เป็นเรื่องของการเตรียมตัว
รับการเปลี่ยนแปลงที่จะต้องมีขึ้นแน่นอนในอนาคตที่ไม่ไกลนี้
ประเทศไทยจะมีตำแหน่งอยู่ตรงไหน?
จีนกำลังเข้ามาเสริมสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่นี้
และกำลังโยกตัวขึ้นสู่การเป็น
Super Power ค่อนข้างแน่นอนในศตวรรษที่
21
โดยมีอินเดียเข้ามามีส่วนช่วยผลักดันอีกแรงหนึ่ง
ทำอย่างไร
ไทยจะสามารถยืนแข่งขันบนเวทีการค้าโลกและในภูมิภาคให้ได้
ตรงนี้เพิ่มเติมค่ะ......คำตอบที่ประมวลจากหลายฝ่ายที่ดิฉันได้มีโอกาสไปร่วมรับฟังต่อมา
ด้วย
คือ
เราจะต้องมีรัฐบาลที่ดีที่เข้มแข็ง
ทำงานมีประสิทธิภาพ
และมีระบบตรวจสอบที่ดี และสามารถถ่วงดุลอำนาจของผู้มีอำนาจ
ให้ใช้อำนาจด้วยคุณธรรมจริยธรรม
และมีความซื่อสัตย์สุจริตเพียงพอที่จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นตัวแทนมาทำหน้าที่บริหารประเทศ
และ เพื่อที่จะสร้างยุคแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมได้
นอกจากนี้ คือต้องเร่งปรับปรุงระบบการศึกษา
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพซึ่งต้องเริ่มจากเด็กๆเลย
ดิฉันเองก็คิดว่า
ภาคอุตสาหกรรมบริการทุกแบบ อาหาร
การท่องเที่ยว
เรามีศักยภาพแน่นอนค่ะ
ยกเว้นการบริการทางการแพทย์ ที่เราก็เก่งมากๆ
แต่อาจให้ผลกระทบ
ต่อระบบสาธารณสุขไทยในภาครวมได้
และประเทศเราเอง ก็มีทรัพยากร ที่เป็นปัจจัย 4
พอที่จะอยู่กันอย่าง Sustainable อยู่แล้ว ถ้าเราไม่ต้องค้าขายกับใคร
แต่ถ้าเราอยู่ในระบบการค้า เสรี เราจำเป็น ต้องปรับตัวเอง ให้
มีศักยภาพ ที่จะ แข่งขันได้ค่ะ
ช่วงนี้ กำลังจะมีเลือกตั้ง มีนโยบายประชานิยม ออกมากันมาก ที่ดีคือ
นโยบายการศึกษา
ต่อไปประเทศเราจะต้องแข่งขันในตลาดโลก คนของเราต้องมีความรู้
ความสามารถ ไม่ใช่แต่ตั้งหน้า
กีดกันการแข่งขันจากต่างชาติ หรือการประกันราคาสินค้าเกษตร
หรือการแทรกแซงกลไกตลาด
2 .หลักราชการ
ระบบราชการที่ยังต้องการการพัฒนาอีกมาก
เพราะภาคส่วนนี้สามารถเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นกัน
โดยต้องทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เรื่องที่ดิฉันชอบมากและขอเพิ่มเติมคือ
พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ คือ
การรับรองสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
ที่อยู่ในความครอบครองของหน่วยงานของรัฐ
พ.ร.บ. นี้จะ
รับรองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในครอบครองของหน่วยงานของรัฐ
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
กับเรื่องนั้นๆ
3.ทำไมองค์กรที่ดีจึงพังได้
เป็นเรื่องที่ดิฉันอ่านแล้ว
รู้สึกคุ้นเคยและมีความรู้สึกร่วมด้วยมาก
เพราะเกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรมองค์กร
ที่ดิฉันเคยเขียนประสบการณ์ของตัวเองไปแล้ว และ ประสบการณ์
ที่เล่าในบันทึกนั้น
ยังใช้ได้ดีอยู่จนบัดนี้
ในประสบการณ์ของดิฉัน วัฒนธรรม
เป็นเครื่องมือทางการบริหารและการพัฒนาองค์กร
ที่อาจถือได้ว่า เป็นระดับสุดยอดในการพัฒนาองค์กร
อย่างแท้จริง
เพราะการปรับโครงสร้างเป็นเพียงแค่การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
แต่วัฒน ธรรมเป็นกรอบวิธีการปฏิบัติของคนที่อยู่ในองค์กรนั้น
นอกเหนือจากกฎระเบียบที่มีอยู่
แต่มีข้อเสียคือ..... ถ้าองค์กรใด
มีวัฒน ธรรมที่แข็งและไม่ยืดหยุ่น
จะทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์กรนั้น
เช่นกัน
ยังมีอีกหลายบล็อกที่ต้องติดตามค่ะเช่น
ตามใจฉัน
OpenCARE มีบันทึกดีๆอีกมากในบล็อกนี้
ที่ควรค่าต่อการกลับไปอ่านอีกหลายๆครั้งค่ะ
ท้ายสุด
ดิฉันประทับใจในความป็นคนมีจิตอาสาช่วยเหลืองานส่วนรวม ตลอดมา
ไม่ว่าจะเป็นงานในหรือ นอก GotoKnow
งานที่สำคัญคือ งานทางจิตอาสาในการปฏิวัติทางจิตสำนึก
(Consciousness revolution) จากจิตเล็ก
ไปสู่จิตใหญ่ที่ไม่จำกัดคับแคบอยู่แต่ตนเอง เช่น กรณี
เหตุธรณีพิบัติภัย
ส่วนงานจิตอาสาใน GotoKnow เอง
เป็นที่คุ้นเคยกับพวกเราทุกคนอยู่แล้ว
ติดตามได้ที่บล็อก วงนอก
ค่ะ
ท่านที่ สาม ดิฉันคิดถึงอาจารย์ ดร. ยุวนุช ทินลักษณ์ หรือนามแฝงว่า
คุณนายดอกเตอร์
บันทึกผ้าย้อมคราม
ผ้าย้อมคราม...ผ้าพลิกชีวิต ในบล็อก
K-creation
เป็นการบูรณาการสิ่งเก่าคือภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับสิ่งใหม่ก็คือความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เรามิอาจปฏิเสธได้
และเมื่อทำแล้วยังมีความสุขสร้างเครือข่ายกันได้ด้วย
อาจารย์บอกว่า....สังคมแบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าเป็นสังคมที่ใช้ความรู้เป็นฐาน
คือใช้ความรู้ทุกอย่างที่มีในสังคมและโลกใบนี้
มิใช่สังคมสมัยใหม่ที่ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีซีกเดียวซึ่งค่อนข้างเป็นห่วงว่าหากคนไทยและนักวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยคิดเหมือนกันหมดว่าวิทยาศาสตร์มีคำตอบให้กับทุกสิ่งในโลกบ้านเมืองของเราคงแย่
ตอนนี้ ทุกคนใน
GotoKnow รู้จัก
คุณจิ๋วและแม่ฑีตากันไปหมดเพราะบันทึกนี้นี่เองค่ะ สำหรับความเห็นที่ดิฉันเคยให้ไปด้วย.....
คือ ควรต้องมีการจดสิทธิบัตรผ้าย้อมครามด้วย แต่เข้าใจว่า
ไม่ง่ายนัก
เพราะการจดสิทธิบัตรหรือลิขสิทธิ์ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาและเจ้าของสิทธิของผลงานนั้น
กรณีผ้าย้อมคราม ไม่ทราบว่า ใคร คือเจ้าของสิทธิ์นี้ค่ะ
เพราะวิธีการทำผ้าชนิดนี้ สืบทอดมาหลายช่วง
จึงทำให้การระบุแหล่งที่มาเบื้องต้นของผลงานทำได้ยากมาก
แต่อย่างไรก็ตาม
น่าจะไปลงทะเบียนไว้ที่ ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย"
ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาด้วยค่ะ
ยังมีเรื่องดีๆอีกมากในบล็อกนี้ค่ะ
ส่วนอีกบล็อกหนึ่ง เป็นการเล่าเรื่อง
เกี่ยวกับชีวิตในชนบทริมน้ำป่าสัก ซึ่งสงบเย็น
แตกต่างจากชีวิตในเมืองใหญ่ๆมาก
River
Life
ที่ทุกคนที่แวะมาเยี่ยมเยียน
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่างเป็นชีวิตที่ มีความสุข
เย็นทั้งกายและใจ น่าอิฉาจริงๆค่ะ
มีบันทึกที่เกี่ยวกับ ชีวิตริมน้ำ
เรื่องราวรอบตัว
และมีบันทึกที่เกี่ยวกับการฝึกสติ
และการฝึกธรรมะอยู่หลายบันทึกที่น่าอ่าน
อ่านสนุกและให้ข้อคิดเป็นอย่างดีค่ะ เช่น
เรื่องราวจากถ้วย...เรื่องราวจากแผ่นดิน
เล่าถึงความประทับใจในการทีเขาปราณีตในการผลิตถ้วย
ที่คนเกี่ยวข้องทุกส่วนได้ใส่ความภูมิใจในการเป็นคนชาติอาฟริกาใต้
ความรักในสิ่งที่ทำ
และการนึกถึงความสุขของผู้ซื้อที่ไม่ใช่แค่ซื้อถ้วยอีกหนึ่งใบไปสะสม
หอมกลิ่นดอกไม้ไทย
บล็อกนี้ สำหรับคนรักธรรมชาติ ชอบปลูกต้นไม้ และชื่นชมดอกไม้
ตามธรรมชาติ ถือเป็นงานอดิเรก ผ่อนคลาย
และเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตด้วย
ซ่อมเรือเตรียมไว้...น้ำท่วมแน่ปีนี้
บ้านอยู่ริมน้ำ เรือ เป็นพาหนะทางน้ำที่สำคัญมาก
ชาวบ้านจึงมีวิธีการดูแลรักษา และซ่อมแซมเรือ
อย่างน่าสนใจมากค่ะ
และอีกหลายๆบันทึก ที่ต้องอ่านทุกตัวอักษรค่ะ
ท่านที่สี่คือ ดร.กมลวัลย์
ลือประเสริฐ
ถ้าดิฉันคิดถึงเรื่องอุดมศึกษาในประเทศไทย
จะนึกถึงอาจารย์กมลวัลย์ค่ะ ที่บล็อก นานาสาระกับอุดมศึกษาไทย
เพราะมีบันทึกหลายเรื่องที่เล่าถึงปัญหาการศึกษาระดับนี้
และรวมทั้งพฤติกรรมของนักศึกษาด้วย จริงๆแล้ว
พฤติกรรมเด็กวัยรุ่นสมัยนี้
ก็ไม่ได้ต่างจากสมัยดิฉันเท่าไร แต่การแสดงออก
อาจจะมีแปลกไปตามยุคสมัย วัยรุ่นทั้งหลาย
จะแสวงหาบทบาทของตัวจากกลุ่มเดียวกันหรือที่เรียกว่า peer
group
วัยรุ่นที่ดิฉันอยากเห็น คือ วัยรุ่น
ที่เคารพตนเอง มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างมีเหตุผล
แต่เข้ากับคนอื่นได้
โดยไม่มีปัญหาค่ะ
วิดน้ำให้บัวโผล่...
อาจารย์บอกไว้ว่า...... ปัญหาคุณภาพนักศึกษานี้แก้ไม่ได้ทั้งหมดหรอกค่ะ
ดิฉันตั้งใจแค่จะนำเสนอวิธีการที่เราใช้กันอยู่
นั่นคือ วิดน้ำให้บัวโผล่
ซึ่งโดยส่วนตัว
ดิฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับการช่วยนักศึกษาด้วยการปรับคะแนน
เพราะเราจะได้นักศึกษาที่ไม่มีคุณภาพพอ
แล้วต่อไปประเทศเรา จะไปแข่งขันอะไรกับใครเขาได้
เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้
อาจารย์ก็ไม่ชอบเรื่องการปรับคะแนน
แต่คงไม่ทราบจะทำอย่างไร
มีตัวอย่าง
คนใกล้ตัวดิฉัน ถึงกับต้องออกข้อสอบใหม่
เพราะนักเรียนตกเกินครึ่ง แต่เขาก็บ่นว่า
แล้วอย่างนี้ เราจะได้บัณฑิตที่มีคุณภาพได้อย่างไร
เพื่อนๆดิฉัน เป็นอาจารย์กันหลายคน เขาบอกว่า
นักศึกษาเก่งดีๆก็มีมากนะ แต่น้อยลงกว่าเดิม
อย่างเห็นได้ชัด
อาจารย์ไม่มีคุณภาพประเด็นนี้
มีคนพูดกันมากทั้งในและนอก โกทูโนค่ะ
ถ้าคนที่จะมาสอนเด็กไม่มีคุณภาพแล้ว
จะหวังให้เด็กมีคุณภาพได้อย่างไร
โดยส่วนตัว
ดิฉัน
ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องระบบการศึกษาในภาพรวมอยู่บางอย่าง
ซึ่งส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ผู้เรียนได้ลองเรียนรู้สิ่งต่างๆ
ที่มีความหลากหลายด้วยตนเอง เพราะธรรมชาติของความรู้
มีความหลากหลาย มีวิวัฒนาการ มีแง่มุมต่างๆ
ที่สลับซับซ้อนมากกว่าการเรียนตามตำรา
แต่ไม่เคยไปลงลึกวิจารณ์อะไร
เพราะไม่ได้อยู่ในวงการศึกษา
อาจไม่รู้จริง
และก็คิดว่า
คงอยู่ที่เราจะเลือก ไม่ใช่ว่า
จะไม่มีของดีๆมาให้เลือกเสียเลย
บางแห่งก็มีระบบการสอนดีๆก็มีค่ะ
พื้นที่ กับ
การอุดมศึกษา
ซึ่งกล่าวถึง
การมีบรรยากาศในการเรียนจะสร้างเสริมการเรียนรู้
ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
ซึ่งดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ แต่ต้องมีงบประมาณ ซึ่ง ปัญหาคือ
จะได้งบมาจากไหน ที่จะมากพอที่สร้าง
facilities ดีๆ ทางการศึกษาได้
ดังนั้นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย
คือการที่มหาวิทยาลัยหาเลี้ยงตัวเองด้วย “ธุรกิจการศึกษา”
ซึ่งสิ่งเหล่านี้
จะเป็นผลร้ายต่อมหาวิทยาลัยในระยะยาวจริงๆ
เพราะหากอาจารย์มหาวิทยาลัยมัวแต่ “ทำมาหากิน”
ก็จะละทิ้งกิจกรรมทางวิชาการที่สำคัญอย่างอื่น โดยเฉพาะ
การวิจัยไป ซึ่งน่าเสียดายมากค่ะ
แต่ถ้าจะอ่านเรื่องการฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด
ขอแนะนำที่บล็อก
การปฏิบัติธรรม ค่ะ การพูดว่า เราควรฝึกสติทุกวัน ทุกชั่วโมง เป็นของง่าย
แต่การปฎิบัตินั้น ยากค่ะ และข้อสำคัญ
ต้องมีกัลยาณมิตรที่มาเป็นกำลังใจ
ซึ่งกันและกันด้วย
ส่วนตัวดิฉันเอง ดิฉันประทับใจและชอบ
แนวการสอนของท่านพุทธทาส
ที่ตลอดระยะเวลาของการเผยแผ่ธรรมะ 70 กว่า ปีของท่าน
ท่านพยายามอย่างยิ่งที่จะ สอนให้คนทั่วไป
เข้าถึงแก่นแท้จริงๆของการปฎิบัติธรรม ซึ่งในบางบันทึกของอาจารย์
กมลวัลย์ฯ ก็ได้มีกล่าวถึงเช่นกันค่ะ
ท่านที่ห้าคือคุณพนัส ปรีวาสนา
หรือคุณแผ่นดิน
ถ้าพูดถึงเรื่องกิจกรรมของนิสิตนักศึกษาแล้ว
ทุกคนที่
GotoKnow ต้องเล็งมองมายังคุณพนัสฯ
เป็นตาเดียว เพราะเป็นผู้ที่ผลักดัน
และคร่ำหวอดอยู่ในการขับเคลื่อนกิจกรรมนี้อย่างเอาจริงเอาจัง
และก็เป็นการมองอย่างชื่นชม
เพราะกิจกรรมต่างๆที่คุณพนัส เป็นหัวเรือใหญ่
หรือผู้ผลักดันนี้
จะเสริมสร้าง
และบูรณาการการเรียนรู้ระหว่างทักษะวิชาชีพกับกิจกรรมเพื่อสังคมได้เป็นอย่างดีค่ะ
คลิกไปอ่าน...
1..กิจกรรมนิสิต:
ตัวตนและทางเลือกกิจกรรมของคณะ(ที่มีค่ามากกว่าการถูกมองข้าม)
2. พระบรมราโชวาทฯ
วันเด็ก
(2) : ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่างที่ควรมีอยู่ในตัวตนของเด็กและมวลมนุษยชาติ
3.ความทรงจำไม่รู้จบ
(2) :
กิจกรรมนิสิตปรากฏการณ์พลังความคิดนิสิตมหา’ลัย
กิจกรรมเหล่านี้
จะเกิดเป็น คลื่นพลังน้ำใจเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น
จนเปลี่ยนจากจิตเล็กที่คิดถึงแต่ตนเอง
ไปสู่จิตใหญ่ที่ค