ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ อาจารย์แพทย์ระบบทางเดินอาหารแนะนำวิธีลดน้ำหนักแบบแยบยลไว้ในวารสารคลินิก... ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟัง
ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ อาจารย์แพทย์ระบบทางเดินอาหารแนะนำวิธีลดน้ำหนักแบบแยบยลไว้ในวารสารคลินิก... ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟัง
-
อาจารย์พินิจท่านแนะนำเกณฑ์มาตรฐานสำหรับคนไทยและคนเอเชียที่สำคัญ 2 ข้อได้แก่
o ดัชนีมวลกาย (body mass index / BMI):
ให้นำน้ำหนักเป็นกิโลกรัมมาตั้ง หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร 2 ครั้ง เช่น สมมตินายกอ และนางขอหนัก 60 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตร จะได้ BMI = 60/(1.6)2 = 23.44 ค่าปกติของ BMI = 18.5-23 เมื่อมี BMI = 23.44 นับว่า น้ำหนักเกินแล้ว
o เส้นรอบพุง:
ผู้ชายไม่เกิน 36 นิ้ว ผู้หญิงไม่เกิน 32 นิ้ว สมมตินายกอมีเส้นรอบพุง 38 นิ้ว และนางขอมีเส้นรอบพุง 33 นิ้ว นับว่า อ้วนรอบพุงแล้ว
อาจารย์แนะนำว่า คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป... ถ้ากินเท่าเดิม ออกกำลังเท่าเดิม น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 0.5 กิโลกรัม
การควบคุมน้ำหนักที่สำคัญที่สุดคือ การควบคุมอาหาร... อย่างอื่นเป็นส่วนเสริม เช่น ไข่ 1 ฟอง หรือขนมปัง 1 แผ่น หรือวิสกี้ 30 มิลลิลิตร ให้กำลังงาน 100 แคลอรี เทียบเท่าการวิ่งประมาณ 1 ไมล์ หรือ 1.6 กิโลเมตร
ถ้ากินแบบไม่ยั้งอาจต้องวิ่ง 10-20 ไมล์ต่อมื้อ(16-32 กิโลเมตร) เพื่อควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ยุทธศาสตร์แห่งการควบคุมน้ำหนักมี 3 ประการได้แก่ การคุมปริมาณอาหาร เลือกชนิดอาหาร และออกกำลัง
ท่านแนะนำเรื่องอาหารสำหรับควบคุมน้ำหนัก เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยรวมดังต่อไปนี้… <ol>
o ลดเนื้อแดง:
ไขมันอิ่มตัวมีมากในเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ เช่น หมู วัว ฯลฯ จึงควรเลือกใช้โปรตีนจากพืชทดแทนสัตว์บ้าง เช่น ถั่ว เต้าหู้ งา ฯลฯ
ข้อควรระวังที่สำคัญได้แก่ แม้แต่เนื้อแดง(ไม่ติดมัน)ก็มีไขมันแฝงอยู่สูง การกินเนื้อมากเกินทำให้อ้วนง่าย
o กินพืชผักหลากหลาย:
โปรตีนจากพืชส่วใหญ่มีโปรตีนไม่ครบทุกชนิด วิธีง่ายๆ คือ ให้กินโปรตีนจากพืชหลายๆ ชนิดพร้อมกันในมื้อเดียว เช่น ให้มีข้าวกล้อง ถั่ว งา เห็ด ฯลฯ ครบครัน
เคล็ดลับในการลดน้ำหนักคือ หนักผัก(กินผักเป็นหลัก) ไม่ใช่หนักข้าว หรือหนักเนื้อ
o ใช้ไขมันชนิดดีพอประมาณ:
ไขมันชนิดดี(ไขมันไม่อิ่มตัว)มีมากในพืชผัก จึงควรใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันสัตว์ และใช้น้ำมันพืชที่มีไขมันอิ่มตัวสูง(กะทิ น้ำมันปาล์ม)ให้น้อยหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันอะไร... ให้ใช้แต่น้อยเท่านั้น
o กินปลา:
อาจารย์ท่านแนะนำให้กินปลาเพิ่มขึ้นหน่อย เน้นปลาทะเล เพราะมีคุณค่าหลายอย่างมากกว่าปลาน้ำจืด
ให้ลดเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช่ปลาลง
o กินสัตว์ปีกลอกหนัง:
สัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด ห่าน ฯลฯ ให้ลอกหนังออก (จะเรียกว่า “ถลกหนังออก” ก็ได้) เนื่องจากมีไขมันมากในส่วนหนัง
o กินข้าว:
กินข้าว 1-2 จานต่อมื้อ... ส่วนจะเป็น 1 หรือ 2 จานขึ้นกับการออกแรง(งาน)
ไม่ต้องอดข้าว ยิ่งอดยิ่งชดเชยมากเกิน ถ้าเป็นไปได้... ควรเป็นข้าวกล้อง
o เน้นต้ม ลวก ยำ:
ควรกินอาหารไทยประเภทต้ม(ไม่ใช้กะทิ หรือใช้นมถั่วเหลืองแทน) ลวก และยำเป็นหลัก
ถ้าเป็นสลัดให้เลือกชนิดไขมันต่ำ อาหารประเภทเผามักจะมีไขมันต่ำ ทว่า... อาจทำให้เสี่ยงมะเร็ง
o ลดอาหารทอด:
อาหารทอดมีไขมันแฝงอยู่มาก... แม้ภายนอกจะดู "แห้ง" หรือไม่เห็นมัน
ทว่า... ถ้าแยกส่วนออกมาจริงๆ อาจพบน้ำมัน 15-30% ของปริมาณทั้งหมดทีเดียว
o เลือกอาหารว่าง:
อาหารว่าง โดยเฉพาะอาหารประชุม อบรม สัมมนาส่วนใหญ่จะทำให้อ้วนง่าย เช่น ชา กาแฟ ขนม เบเกอรี่ ฯลฯ
การใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาล ใช้ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น แครอท ฝรั่ง ฯลฯ เป็นอาหารว่างช่วยลดแคลอรีได้มาก
o ลดอาหารอันตราย:
อาหารที่คนอ้วนต้องระวังมากเป็นพิเศษได้แก่ อาหารทอด มันสัตว์ หนังสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง(ผู้ใหญ่กินไข่แดงได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 3-4 ฟอง)
และที่ลืมไม่ได้คือ ควรงดน้ำหวาน แอลกอฮอล์(เหล้า เบียร์ ไวน์...) และเครื่องดื่มเติมน้ำตาล
o ดื่มน้ำ:
ข้อนี้ผู้เขียนขอแนะนำว่า ให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วทันทีที่หิว เพราะบางครั้งเราหิวน้ำ แต่กลับไปกินข้าวแทน ถ้าดื่มน้ำแล้ว 15 นาทีไม่หายหิว... ค่อยกินข้าว
วิธีลดอาการหิวอีกวิธีหนึ่งคือ... ให้เปลี่ยนความสนใจ หันไปเดินเร็วๆ 5 นาที การเดินเร็วมีส่วนทำให้เกิดการหลั่งสารความสุข (เอ็นดอร์ฟีน)
นอกจากนั้น "ความอยาก" ของคนเรามักจะมากใน 5 นาทีแรก ถ้าหันเหความสนใจไปทางอื่น เช่น อาบน้ำ ดื่มน้ำ ฯลฯ ได้... หลัง 5 นาทีจะพบว่า ความอยากลดลงไปมากทีเดียว
o เลิกเหล้า:
ข้อนี้ผู้เขียนขอเติมเข้ามาเช่นกัน แอลกอฮอล์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์มีส่วนทำให้อ้วนฉุได้
นอกจากนั้นเหล้ายังทำให้ขาดสติ คนเราเมื่อขาดสติจะกินมากขึ้น... เลยอ้วนเลย
o กินข้าวช้าๆ:
เวลากินให้กินช้าๆ + เคี้ยวช้าๆ เพราะร่างกายใช้เวลาเพิ่มความรู้สึกอิ่มประมาณ 20 นาที
ถ้ากินเร็วๆ หรือรีบกินอาจทำให้ความรู้สึกอิ่มน้อยเกิน และต้องกินชดเชยไปเรื่อยๆ... เลยอ้วนเลย
o เพิ่มออกกำลัง:
การออกกำลังเพื่อสุขภาพสำหรับคนทั่วไปอาจใช้เวลาครั้งละ 30 นาที
ทว่า... การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนักต้องใช้เวลามากกว่านั้นคือ ครั้งละ 60 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สังเกตให้เหนื่อย หอบเล็กน้อย หรือมีเหงื่อออก
o ออกกำลังเพื่อหัวใจ:
ให้เลือกออกกำลังชนิดที่ออกแรงต่อเนื่อง เพื่อให้หัวใจ ปอด และระบบหมุนเวียนเลือดแข็งแรง
ตัวอย่างการออกกำลังเพื่อหัวใจ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยานอยู่กับที่ กระโดดเชือก เต้นแอโรบิค ฯลฯ
o ออกกำลังเพื่อกระดูก:
การออกกำลังเพื่อให้กระดูกแข็งแรงต้องมีการแบกน้ำหนักตัวเอง เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก เต้นแอโรบิค ฯลฯ
การว่ายน้ำหรือถีบจักรยานอยู่กับที่ไม่แบกน้ำหนัก ไม่ทำให้กระดูกแข็งแรง ทำให้ป้องกันโรคกระดูกโปร่งบาง ซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงไม่ได้
จึงควรออกกำลังหลายรูปแบบสลับกัน เช่น เดินเร็ว 1 วัน ว่ายน้ำ 1 วัน วิ่ง 1 วัน ถีบจักรยาน 1 วันสลับกัน ฯลฯ
o ท่านที่อ้วนมาก:
คนที่อ้วนมากไปวิ่งทันทีอาจทำให้ข้อเข่า ข้อเท้าเสื่อมได้ จึงควรออกกำลังแบบอื่นไปก่อน เช่น เดินเร็ว 30 นาทีต่อวัน เดินช้าเพิ่มอีก 30 นาทีต่อวัน ฯลฯ
การออกกำลังจะแบ่งเป็นช่วงๆ ก็ได้ เช่น แบ่งการเดินช้าเป็น 2 ยกๆ ละ 15 นาที ฯลฯ เมื่อน้ำหนักลดลงจนอยู่ใกล้เกณฑ์ปกติค่อยไปวิ่ง
</ol><p style="margin: 12pt 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><p>อาจารย์ท่านแนะนำว่า การควบคุมน้ำหนัก หรือลดความอ้วนช่วยลดโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม ฯลฯ </p><p>ถ้าคนไทยควบคุมน้ำหนัก หรือลดความอ้วนได้… จะช่วยชาติประหยัดได้เป็นแสนล้านบาทต่อปี… อาจารย์ท่านแนะนำครับ</p>
- เชิญดาวน์โหลดแฟ้ม (MSword) ฟรีที่นี่...
- "สูตรลดความอ้วนฟรี (สูตรคุณสุภา)" พัฒนาสูตรโดยคุณสุภา เกียรติก้องแก้ว นักโภชนาการ ศูนย์มะเร็งลำปาง (www.lampangcancer.com - ขอขอบพระคุณอาจารย์ณรงค์ ม่วงตานี - webmaster ประจำเว็บไซต์)
-
[ Click - คลิก - Click ]
- เชิญดาวน์โหลด "สูตรลดความอ้วนฟรี" สูตรจากเว็บไซต์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
- [ Click - คลิก - Click ]
รวมบทความ "ลดความอ้วน"...
</span></span> แหล่งที่มา: <ul>
ขอขอบพระคุณ > ศาสตราจารย์นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์. อ้วนอย่างเดียวสารพัดโรค! คลินิก. ตุลาคม 2549. ปี 22 ฉบับ 10. หน้า 885-887.
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ จัดทำ > ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ > ปรับปรุงแก้ไข 30 เมษายน 2550.
</ul>